ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptation ทางรอดก่อนเจ๊ง
การทำธุรกิจยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โอกาสสำเร็จพอมี! แต่โอกาสที่จะเจ๊ง ก็มีสูงเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาเมืองไทยเองก็เจอวิกฤติมาหลายลูก
เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2540 , วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ในปี 2554 , วิกฤติโควิด 19 ในปี 2563 – 2565 มาถึงปัจจุบันที่อาจจะเป็นวิกฤติทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศเอง ส่งผลให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบมาก สอดคล้องกับตัวเลขน่าตกใจที่สะท้อนความเสี่ยงของอัตราการอยู่รอดของธุรกิจ คือ
- 40% ล้มเหลวใน 3 ปีแรก
- 50% ล้มเหลวภายใน 5 ปี
สำหรับสตาร์ทอัพ ความล้มเหลวสูงถึง 90% โดย 10% ล้มเหลวในปีแรก และผู้ก่อตั้งครั้งแรกมีโอกาสสำเร็จเพียง 18% และตัวเลขของคนที่ทำธุรกิจและหวาดกลัวความล้มเหลวเพิ่มขึ้นจาก 44% ในปี 2019 เป็น 49% ในปี 2024
ถ้าวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีกว่าในปัจจุบันอะไรคือความเสี่ยงที่แท้จริง จะทำให้เรามองเห็นภาพปัญหาและนำไปสู่วิธีการหาหนทางแก้ไขได้อย่างถูกต้องหรือเตรียมแผนรับมือก่อนเริ่มทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.การแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือด
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือธุรกิจร้านอาหารที่เคยเป็นอาชีพที่มั่นคงสร้างรายได้ดีแต่ตอนนี้คู่แข่งเยอะมาก แถมมีแบรนด์ใหญ่ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ กระโดดมาร่วมวง ในขณะที่กลุ่มลูกค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เมื่อมีตัวเลือกมากลูกค้าก็กระจายตัวไปสู่แบรนด์ต่างๆ
2.ต้นทุนที่ควบคุมยาก + กระแสเงินสดที่ไม่มากพอ

คนทำธุรกิจต่างพยายามรัดเข็มขัดตัวเอง เป็นวิธีพื้นฐานเพื่อทำให้อยู่รอดได้นานที่สุด แต่ก็ดูจะไม่ค่อยได้ผลมากนักยกตัวอย่างการขายผ่านแอปพลิเคชัน Delivery (Food Delivery) ทำให้ร้านต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น (GP) ประมาณ 25% ถึง 35% ของยอดขาย ทำให้กำไรลดลงมาก เพราะต้องขายให้ได้มากกว่าเดิม 3 เท่า ถึงจะกำไรเท่าเดิม
3.ลูกค้ามีตัวเลือกและหาข้อมูลในโซเชี่ยลมากขึ้น
ลูกค้าส่วนใหญ่จะ “เชื่อรีวิว” ในโลกออนไลน์มากกว่าโฆษณา หากมีรีวิวที่ไม่ดีเพียง 1-2 ครั้ง ลูกค้าจำนวนมากก็จะไม่มาใช้บริการ และยุคนี้ ลูกค้าไม่ได้เปรียบเทียบแค่ราคาและคุณภาพเท่านั้น แต่เปรียบเทียบ “ความเร็ว” และ “ความง่าย” ในการสั่งซื้อด้วย หากขั้นตอนการสั่งซื้อ/บริการซับซ้อนมากไป ลูกค้าจะหนีไปหาคู่แข่งที่ใช้เทคโนโลยีได้ดีกว่า
ยังไม่รวมวิกฤติในอีกหลายด้านที่เป็นปัจจัยเสริมเช่นพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป อะไรที่ไม่จำเป็นก็ยังไม่ซื้อ มีการประหยัดและวางแผนการใช้เงินอย่างรัดกุมมากขึ้น หรือปัญหาราคาค่าเช่าพื้นที่เพิ่มสูง ยิ่งทำเลดี ราคายิ่งแพง บางแห่งค่าเช่าร้านมากกว่า 30-40% ของยอดขาย ทำไปก็ไม่มีกำไร เป็นต้น
Preemptive Adaptation เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ
กลยุทธ์การปรับตัวล่วงหน้า หรือ Preemptive Adaptation คือแนวทางที่ธุรกิจต้องรู้ก่อนจะสายเกินไป ในความเป็นจริงวิกฤติเหล่านี้สามารถกลายเป็นโอกาสในการเติบโตได้ หากมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม
1.การลดต้นทุนและจัดการกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ

การตรวจสอบและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินในช่วงวิกฤติ โดยมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่าย เช่น ลดค่าเช่าพื้นที่หรือเจรจาสัญญากับซัพพลายเออร์ การจัดการกระแสเงินสดที่ดีสามารถช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้นานขึ้น
จากการศึกษาพบว่า ธุรกิจที่ลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลดความสูญเสียรายได้ลงได้ถึง 20-30% ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย และ 80% ขององค์กรที่จัดการกระแสเงินสดได้ดีสามารถฟื้นตัวภายใน 12 เดือน
ยกตัวอย่าง : LEGO ก็เคยเจอช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2003-2004 ที่เผชิญกับยอดขายตกต่ำถึง 30% แต่บริษัทได้ลดต้นทุนการผลิตและปรับโครงสร้างองค์กร ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น 63% ในปีถัดมา และกลายเป็นแบรนด์ของเล่นอันดับหนึ่งของโลก
2.การมุ่งเน้นลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเดิม

ในวิกฤติ ลูกค้าอาจลดการใช้จ่าย ดังนั้นธุรกิจควรเน้นการสร้างความภักดีผ่านการสื่อสารที่โปร่งใสและบริการที่ปรับให้เข้ากับความต้องการใหม่ เช่น การให้ส่วนลดหรือโปรแกรมสะสมแต้ม เพื่อรักษายอดขาย
มีข้อมูลน่าสนใจระบุว่า ธุรกิจที่รักษาฐานลูกค้าได้ดีสามารถลดอัตราการสูญเสียลูกค้าลงได้ 15-20% และเพิ่มรายได้จากลูกค้าเดิมได้ถึง 25% ในช่วงวิกฤติ โดย 52% ขององค์กรที่เน้นลูกค้ามีอัตราการฟื้นตัวเร็วกว่าค่าเฉลี่ย
ยกตัวอย่างเช่น Amazon ในช่วงวิกฤติ COVID-19 ได้ปรับบริการให้เน้นการส่งสินค้าอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 28% ในปี 2020 และจำนวนสมาชิก Prime เพิ่มขึ้น 50 ล้านคน เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสในการขยายตลาดออนไลน์
3.การปรับตัวสู่ดิจิทัลและเทคโนโลยี

การนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การย้ายธุรกิจสู่แพลตฟอร์มออนไลน์หรือใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สามารถช่วยธุรกิจเข้าถึงลูกค้าใหม่และลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยธุรกิจที่ปรับตัวสู่ดิจิทัลมีอัตราการเติบโต 3 เท่าเมื่อเทียบกับธุรกิจแบบดั้งเดิม และ 60% ของบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีฟื้นตัวได้ภายใน 6 เดือน
ยกตัวอย่าง เช่น Airbnb ในวิกฤติปี 2008 ได้ปรับจากบริการที่พักสู่ “Online Experiences” เช่น คลาสทำอาหารออนไลน์ ส่งผลให้รายได้ฟื้นตัว 85% ภายในปีเดียว และมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2 พันล้านดอลลาร์เป็น 100 พันล้านดอลลาร์
4.การสร้างนวัตกรรมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

วิกฤติเป็นโอกาสในการคิดค้นสิ่งใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไป เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนหรือบริการที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า บริษัทที่ลงทุนในนวัตกรรมในช่วงวิกฤติมีอัตราการเติบโตหลังวิกฤติสูงกว่า 2 เท่า และ 7% ของบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกสามารถเพิ่มรายได้ 10-15% ผ่านการนวัตกรรม
ยกตัวอย่างเช่น Nike ในช่วงวิกฤติปี 2008 ได้พัฒนาแอป Nike+ Running เพื่อเชื่อมโยงกับลูกค้าผ่านเทคโนโลยี ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 55% และบริษัทฟื้นตัวเร็วกว่าคู่แข่ง โดยปัจจุบัน Nike มีรายได้จากดิจิทัลมากกว่า 30% ของยอดรวม
5.การกระจายความเสี่ยงและหาโอกาสใหม่

แทนที่จะพึ่งพาตลาดหรือผลิตภัณฑ์เดียว ธุรกิจควรกระจายไปยังช่องทางใหม่ เช่น การขยายตลาดต่างประเทศหรือพัฒนาธุรกิจข้างเคียง เนื่องจากธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงมีโอกาสรอดจากวิกฤติสูงกว่า 40% และสามารถลดความสูญเสี
ยรายได้ลงได้ 25% โดย 93% ของบริษัทที่ไม่มีแผนกระจายความเสี่ยงล้มเหลวภายในปีเดียวหลังวิกฤติ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Disney ในช่วงวิกฤติโควิดที่ผ่านมาได้กระจายจากสวนสนุกสู่บริการสตรีมมิง Disney+ ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ส่งผลให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านคนภายใน 16 เดือน และรายได้จากสตรีมมิงชดเชยความสูญเสียจากสวนสนุกได้กว่า 50%
ถ้าดูในเมืองไทยเองหลายธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีการปรับตัวเชิงรุก โดยไม่รอให้วิกฤติเกิดขึ้นก่อน
แม้ว่ายุคนี้อาจไม่ใช่ยุคทองของการทำธุรกิจและยังมีความเสี่ยงที่เยอะมากแต่ในอีกมุมหนึ่งหากธุรกิจมีการวางแผนและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำธุรกิจ เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งปัญหาที่รุมเร้าธุรกิจจะยิ่งเติบโตได้เร็วมากขึ้น
#PreemptiveAdaptation #ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม #สร้างนวัตกรรม #วิกฤติทางเศรษฐกิจ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




