ทำไม คริสปี้ ครีม ถึงกลายเป็นของฝาก “จากกรุงเทพฯ”

คริสปี้ ครีม เริ่มเปิดตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2553 ภาพจำที่ยังไม่ลืมคือคนแห่ต่อแถวรอซื้อโดนัทสัญชาติอเมริกันแถวยาวเหยียดเป็นปรากฎการณ์ จนลงข่าวหน้าหนึ่งในหลายสื่อ จากวันนั้นถึงวันนี้กว่า 16 ปี คริสปี้ครีมแม้จะยังไม่ก้าวสู่จุดสูงสุดในการเป็นผู้นำตลาดโดนัทแต่ก็ถือเป็นแบรนด์โดนัทระดับต้นๆ ที่มีฐานลูกค้าตัวเองเยอะมาก ไล่บี้กับกลุ่มผู้นำมาอย่างสูสี

  • Mister Donut ส่วนแบ่งการตลาดมากสุด 50%
  • Dunkin’ Donuts ตามมาด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30%
  • Krispy Kreme ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 20%

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “การตลาดของคริสปี้ ครีม” ที่เลือกสู้ในรูปแบบที่ตัวเองถนัด เพิ่มลูกค้าด้วยคุณภาพและบริการที่สำคัญไม่เน้นขยายสาขาทีละเยอะๆ ส่วนใหญ่เราจึงเห็นคริสปี้ครีมมีอยู่แค่ในกรุงเทพฯและตามหัวเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น

และทำเลของการเปิดร้านก็ไม่ใช่พื้นที่ทั่วไปจะเน้นอยู่ 3 จุดคือ ห้างสรรพสินค้า , สนามบิน / สถานีขนส่ง , สถานีรถไฟฟ้า โดยจำนวนสาขาส่วนใหญ่จะอยู่ในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ต่างๆ

และความที่เป็นสินค้าเหมือน Rare item แบบนี้ในอีกมุมหนึ่งกลับกลายเป็นข้อดีสอดคล้องกับทฤษฏีการตลาดที่เรียกว่า “Scarcity Marketing” ที่คนเรามักจะมองข้ามสินค้าที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ และมีความต้องการในสินค้าที่มีอยู่จำกัด ยิ่งหาได้ยากยิ่งกระตุ้นให้รู้สึกว่าสินค้านั้นมีคุณค่ามากขึ้น

คริสปี้ ครีม

เคยดูคลิปหนึ่งที่เป็นคนใต้พูดว่า เค้าชอบซื้อ ‘คริสปี้ครีม’ ที่สนามบินกลับไปฝากคนที่บ้าน เพราะเป็นการการันตีว่าได้ ‘ขึ้นเครื่องฯ’ มาเทึ่ยว ‘กรุงเทพฯ’ สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนว่า คริสปี้ครีม หาทานได้ยากในต่างจังหวัด จะมีก็เฉพาะในจังหวัดใหญ่ๆ บางจังหวัดหาไม่ได้เลย

อารมณ์ของคนที่ได้คริสปี้ครีมเป็นของฝากจึงไม่ต่างจากการได้ของฝากจากเมืองนอก ที่จะรู้สึกว่ามีความพิเศษมาก ทำให้ผู้รับเห็นคุณค่าสินค้ามากขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้เป็น “จิตวิทยา”ของคริสปี้ครีมที่ต้องการให้เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่บังเอิญ แต่เป็นกลยุทธ์การตลาดที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงหากวิเคราะห์ให้ดีจะพบว่าในแต่ละสาขาของคริสปี้ ครีมล้วนแล้วแต่เป็น ‘ทำเลทอง’ ตั้งอยู่ตรงแลนมาร์ค สำคัญ เหมาะแก่การซื้อกลับไปเป็นของฝาก ฉะนั้น เวลาเดินผ่านก็กระตุ้นความรู้สึกอยากซื้อแบบคูณสอง บวกกับธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทยที่ต้องซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนที่บ้าน จึงเรียกได้ว่าคริสปี้ ครีมหยิบเอาจุดนี้มาใช้ประโยชน์ในด้านการตลาดได้ดีกว่าแบรนด์อื่นๆ

คริสปี้ ครีม

ซึ่งถ้าถามว่าเหตุผลแค่นี้เพียงพอไหมที่จะทำให้คริสปี้ ครีม เป็นสินค้าน่าซื้อ ตัวของสินค้าเองก็มีความพรีเมี่ยมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

  • คริสปี้ครีม ขึ้นชื่อความเป็นโดนัทคลาสสิก เคลือบน้ำตาลบาง ๆ หอม หวาน ละลายในปาก เป็นสูตรลับตั้งแต่ปี 1937
  • ทำสดใหม่ทุกวัน บางสาขามีเครื่องทำโดนัทโชว์สด ๆ ผ่านกระจก เห็นเลยว่าโดนัทเพิ่งออกจากเตาอบ
  • รสชาติหลากหลาย มีทั้งแบบคลาสสิก, ช็อกโกแลต, สตรอว์เบอร์รี, คาราเมล ไปจนถึงรสชาติพิเศษเฉพาะเทศกาล
  • มีโปรโมชั่นและกล่องลายพิเศษบ่อย ๆมักออกแบบกล่องลายคิ้วท์ ๆ ตามฤดูกาล
    คริสปี้ ครีม ยังมีเครื่องดื่มร้อน-เย็น ที่กินคู่กับโดนัทแล้วฟินแบบคูณสอง
  • ตัวแป้งของคริสปี้ครีม กัดแล้วนุ่มกำลังดี ทานได้ทั้งชิ้นโดยไม่รู้สึกเลี่ยน
  • โดนัทที่ไม่ได้ทอดในน้ำมัน แต่จะนำไปอบจนพองฟู
  • คริสปี้ ครีมสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 2 คืนโดยที่รสชาติไม่เปลี่ยน

ในส่วนของรายได้คริสปี้ ครีมเองก็ไม่ธรรมดา แม้ปัจจุบันจะมีสาขาทั่วประเทศประมาณ 60 แห่ง

  • ปี 2563 รายได้รวม 646 ล้านบาท กำไรสุทธิ 19.9 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้รวม 692 ล้านบาท กำไรสุทธิ 22.2 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้รวม 871 ล้านบาท กำไรสุทธิ 28.7 ล้านบาท
ภาพจาก facebook.com/krispykremethailandfanpage

และที่ทำให้ลูกค้าติดใจคริสปี้ ครีมถึงขนาดเป็นสินค้าของฝาก ก็มาจากการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุดเปิดตัว Krispy Kreme x Ovaltine Doughnuts หรือจะเป็นสินค้าใหม่อย่าง โอวัลติน มาร์ชแมลโลว์ ซึ่งเป็นโดนัทเคลือบโอวัลตินหอมเข้มข้น สอดไส้โอวัลติน ตกแต่งด้วยมาร์ชแมลโลว์ เป็นต้น

ภาพรวมของคริสปี้ ครีม ในเมืองไทยจึงมีโอกาสที่เติบโตได้มาก เพราะสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ได้ชัดเจน และนอกจากการขายทางหน้าร้านก็ยังมีช่องทางเดลิเวอรี่ให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการ แม้จะไม่ใช่สินค้าที่หาทานได้ง่าย แต่ก็กลายเป็นความหายากที่ทำให้ลูกค้าอยากหาซื้อคริสปี้ ครีมกันมากขึ้นด้วย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด