ทำเลทองของ “คาเฟ่ร้านกาแฟ” เปิดที่ไหน กำไรดีที่สุด
ร้านกาแฟเป็นหนึ่งในธุรกิจสุดฮิตที่คนเชื่อว่าเปิดง่าย ขายดี มีกำไรไม่ยาก บางคนบอกว่าแค่มีเครื่องชงกาแฟดีๆ มีบาริสต้าเก่งๆ แค่นี้ก็เปิดร้านได้
แต่ในความเป็นจริงมันโหดร้ายยิ่งกว่า ถ้าดูจากสถิติคนลงทุนร้านกาแฟอัตราล้มเหลวค่อนข้างสูง เฉลี่ยที่ 30-60% ภายในปีแรก และ 50-74% ภายใน 5 ปี
คำถามคือถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วการเปิดร้านกาแฟจะมีโอกาสสำเร็จได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องโฟกัสคือ
1. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
เราต้องตั้งคำถามก่อนเปิดร้านว่าใครคือลูกค้าหลัก? พนักงานออฟฟิศ นักศึกษา คนทำงานฟรีแลนซ์ หรือนักท่องเที่ยว? จากนั้นก็สำรวจพื้นที่รอบ ๆ ว่ามีกลุ่มเป้าหมายอยู่หรือไม่
2.การเข้าถึงและการมองเห็น
ร้านควรอยู่ในตำแหน่งที่คนเดินผ่านหรือขับรถเห็นได้ชัด เช่น ริมถนนใหญ่ หรือมุมตึกที่มีป้ายเด่นชัด ควรมีที่จอดรถ หรือใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น BTS, MRT จะยิ่งดีมาก
3.การแข่งขันในพื้นที่
ต้องสำรวจว่าในพื้นที่ใกล้เคียง 1-2 กิโลเมตรมีคู่แข่งมากน้อยแค่ไหน และวิเคราะห์จุดเด่นและจุดอ่อนของคู่แข่ง เช่น ราคา, บรรยากาศ, เมนู หรือการบริการ เพื่อหา “ช่องว่าง” ในตลาด เช่น ถ้าคู่แข่งเน้นกาแฟราคาถูก เราอาจเน้นกาแฟพรีเมียมหรือบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์
อย่างไรก็ดีที่กล่าวไปอาจเป็นแค่การวิเคราะห์ภาพรวมในเบื้องต้น แต่ถ้าต้องการความมั่นใจก่อนลงทุนเปิดร้านกาแฟ อาจต้องใช้หลักการ “Mini Feasibility” หรือความเป็นไปได้ของธุรกิจ โดยต้องเช็ก 3 สิ่งสำคัญในทำเลเหล่านั้นได้แก่
- Foot Traffic มีสัดส่วนคนในพื้นที่แค่ไหน? มีคนกลุ่มไหนมากที่สุด?
- ค่าเช่า/ตร.ม.เช็กราคาของผู้ประกอบการในพื้นที่ว่าส่วนใหญ่เกิน 20% จากยอดขายไหม?
- ยอดขาย/วัน เป็นตัวเลขพอให้เห็นภาพว่าเพียงพอจ่ายต้นทุน + เหลือกำไรหรือไม่?
เหตุผลที่ต้องเช็กต้นทุนให้ชัด เพราะกาแฟ 1 แก้วมีต้นทุนแฝงค่อนข้างมาก ทั้งค่าเช่าสถานที่ ซึ่งถ้าทำเลดีๆ อยู่ในย่านออฟฟิศสำนักงาน อาจสูงถึงเดือนละหลายหมื่นบาท ค่าพนักงานขั้นต่ำก็ 13,000 บาท แต่ถ้าจ้างบาริสต้าเก่งๆ ก็ต้องจ่ายแพงกว่านั้น ไหนจะค่าสวัสดิการ ค่าอาหาร ค่า OT จิปาถะ
นอกจากนี้ยังมีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเสื่อมของเครื่องชงกาแฟ ค่าแก้ว ค่าทิชชู่ ฯลฯ เมื่อนำมาคำนวณแล้ว กำไร 1 แก้ว จะเหลือประมาณ 20% เท่านั้น ฉะนั้นถ้าขายกาแฟราคาแก้วละ 60 บาท เราจะได้กำไรประมาณ 12 บาทเท่านั้น
สมมติว่ามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่เป็น Fixed cost (ค่าเช่า ค่าพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ) 30,000 บาท เท่ากับว่าต้องขายกาแฟให้ได้เดือนละ 2,500 แก้ว ถ้าเปิดร้าน 20 วัน ต่อเดือน เท่ากับว่า 1 วัน เราต้องขายให้ได้ 125 แก้ว เพื่อ “เท่าทุน”
หรือถ้าใครติดตามข่าวแม้แต่ในเกาหลีใต้เอง แบรนด์ดังอย่าง Starbucks ยังประกาศไม่ให้อุปกรณ์ HOME Office เข้าร้านเด็ดขาด ก็เป็นผลมาจากการที่คนเกาหลีใต้มักยึดพื้นที่ในร้านกาแฟให้กลายเป็นที่ทำงาน
ซึ่งในเกาหลีใต้มีการประเมินไว้ว่า กาแฟหนึ่งแก้วราคาประมาณ $3 (ราว 110 บาท) จะคุ้มทุนค่าที่นั่งของลูกค้าได้เพียง 1 ชั่วโมง 42 นาทีเท่านั้น หากเข้ามาใช้บริการนั่งนานเกินไป ผู้ประกอบการจะเสียโอกาสในการสร้างรายได้อย่างมาก
ดังนั้นถ้าใช้ Foot Traffic เป็นเกณฑ์ ยิ่งมีคนมาก โอกาสได้พบกลุ่มลูกค้าของร้านก็จะยิ่งมาก มีหลายทำเลที่น่าสนใจเช่น
1.ทำเลแหล่งท่องเที่ยวและเมืองหลัก
มีปริมาณ Foot Traffic สูงเฉลี่ย 15,000–30,000 คน/วัน แต่ก็ต้องแลกกับเรื่องค่าเช่าที่อาจสูงตาม โดยเฉลี่ยประมาณ 2,000–4,000 บาท/ตร.ม. มีตัวอย่างของร้านที่ประสบความสำเร็จคือคาเฟ่ในภูเก็ตที่ทำยอดขายเฉลี่ย 80,000–120,000 บาท/วัน จากลูกค้าต่างชาติที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 500–700 บาท/บิล
2.ทำเลใกล้รถไฟฟ้า และชุมชนเมือง
จุดเด่นที่น่าสนใจคือ Foot Traffic สูงเช่นกัน เฉลี่ย 10,000 – 20,000 คน/วัน ในทำเลเหล่านี้ค่าเช่าก็ยังแพงประมาณ 1,000–2,500 บาท/ตร.ม. การเลือกเปิดร้านในทำเลเหล่านี้ก็ต้องให้สินค้ามีความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์เร่งรีบเช่น, กาแฟ grab&go เป็นต้น
3.ทำเลโซนออฟฟิศ + คอนโดใหม่
ทำเลนี้จะเจาะกลุ่มคนวัยทำงาน + คนรุ่นใหม่เป็นลูกค้าหลัก ค่าเช่าในพื้นที่เหล่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างเฉลี่ยก็เริ่มตั้งแต่ 1,000 – 2,000 / ตร.ม. ร้านกาแฟที่จะเปิดในย่านนี้อาจต้องเน้นที่บรรยากาศเพื่อดึงดูดลูกค้าได้
4.ทำเลใกล้สถานศึกษา
เป็นทำเลที่หลายคนโฟกัสเปิดร้านกาแฟมาก ค่าเช่าก็จะแปรผันตามศักยภาพของทำเล เบื้องต้นประมาณ 500 – 1,000บาท/ ตร.ม. สินค้าก็ควรให้เหมาะกับพื้นที่เน้นไอเดีย เน้นความน่าสนใจ ราคาไม่แพงเกินไปเพื่อให้มีกำลังซื้อได้สม่ำเสมอ
5.ทำเลย่านตลาดนัด/ย่านชุมชน
เป็นทำเลแบบ Local ที่มีข้อดีคือกลุ่ม Foot Traffic ค่อนข้างเยอะในช่วงเช้า และเย็น แต่กำลังซื้ออาจไม่สูงมากนัก กาแฟที่ขายต้องไม่เน้นราคาแพง แต่เน้นง่าย สะดวก เพื่อให้ตอบโจทย์กับกำลังซื้อของลูกค้า และควรเน้นที่คุณภาพและบริการที่ดีเพื่อสร้างฐานลูกค้าในระยะยาว
นอกจากทำเลเปิดร้านที่สำคัญเรื่องของคอนเซปต์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ก็สำคัญไม่แพ้กันเพราะร้านกาแฟในปัจจุบันไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขาย “ประสบการณ์” ด้วย เช่น ร้านสไตล์มินิมอล: เน้นการตกแต่งเรียบง่าย เหมาะกับคนชอบถ่ายรูป หรือร้านกาแฟแบบ pet-friendly ที่ให้ลูกค้านำสัตว์เลี้ยงมาได้
และเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้นการออกแบบเมนูที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ ร้านกาแฟควรเสนอเมนูที่แตกต่าง เช่น กาแฟ signature, เครื่องดื่มตามฤดูกาล หรือเมนูเพื่อสุขภาพ (เช่น นมทางเลือก)
หรือถ้าทำเลอยู่ในย่านท่องเที่ยว อาจเพิ่มเมนูเครื่องดื่มที่ถ่ายรูปสวยหรือมีชื่อที่เกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ จะยิ่งเพิ่มความประทับและทำให้การเปิดร้านกาแฟมีรายได้ดีมากยิ่งขึ้น
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)