ทรงวาด ตลาดพลู ทำเลวัยรุ่นที่เข้ามาแทนบรรทัดทอง?

บรรทัดทอง “ทำเลทอง” ที่ใครๆ ก็มองว่าเป็นแหล่งสร้างรายได้มหาศาล ถึงขนาดที่ถูกยกให้เป็น Food Destination อันดับต้น ๆ ของเอเชีย ที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนมาเที่ยว-กินที่ถนนแห่งนี้กันอย่างเนืองแน่น การันตีความดังให้มากขึ้นไปอีกด้วยการติดอันดับ 14 ถนนที่สุดคูลมากในโลก จาก Time Out ในปี 2567

ตัวเลขน่าสนใจระบุว่าในยุครุ่งเรืองของบรรทัดทองมีนักท่องเที่ยวเข้ามาสู่พื้นที่กว่า 20,000 – 30,000 คน เป็นชาวไทยประมาณ 70% ต่างชาติประมาณ 30% สร้างรายได้โดยรวมในพื้นที่ไม่ต่ำกว่าวันละ 7 ล้านบาท หรือถ้าดูที่ร้านค้าในยุคเฟื่องฟูร้านสตรีทฟู้ดทั่วไปย่านบรรทัดทองมีรายได้เฉลี่ย 3,000 – 6,000 บาท/วัน

ขณะที่บางร้านหากตั้งในทำเลทองของย่านนี้ จะมีรายได้เฉลี่ย 5,000 – 10,000 บาท ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความดังและคุณภาพในการให้บริการของแต่ละร้านร่วมด้วย เบ็ดเสร็จแล้วต่อเดือนในยุคเฟื่องฟูกำไรเฉลี่ยประมาณ 60,000 – 150,000 บาท ** (ข้อมูลตัวเลขประมาณการแตกต่างกันไปในแต่ละร้าน) **

แต่มาถึงวันนี้ “บรรทัดทอง” ไม่เหมือนเดิม ร้านที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักอาจจะยังมีรายได้ที่ดี แต่ความเป็นจริงเช่นกันคืออีกหลายร้านอยู่ไม่ได้ ไปไม่รอด นับจำนวนนร้านค้าในตอนนี้ก็มีอยู่ประมาณ 300 – 400 ร้านค้า แต่ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงไปเรื่อยๆ คาดว่าอีกไม่เกิน 6 เดือนจากจำนวนนี้จะหายไปอีกกว่า 40%

สาเหตุถ้าวิเคราะห์กันคร่าวๆ ก็มาจากกระแสที่เริ่มจะเงียบเหงา และการที่โลกโซเชี่ยลแห่ทำคอนเทนต์ที่โฟกัสในเรื่อง “อาหารแพง” “ไม่คุ้มราคา” ซึ่งแตกต่างจากยุคแรกๆ ที่พูดถึงร้านค้าร้านอาหารในเชิงบวก สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนไม่อยากไปเดินบรรทัดทอง รวมถึงเรื่องรายได้ของคนส่วนใหญ่ที่ลดน้อยลงด้วย

อีกสาเหตุที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้นทุนที่สูง อย่างเช่นค่าเช่าเฉลี่ยของถนนบรรทัดทองอยู่ที่ 50,000 – 60,000 บาท” และโดยปกติแล้วค่าเช่าจะเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 5%ต่อปี เป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมากเกินไป สวนทางกับยอดขายที่ไม่ได้เพิ่มขึ้น เราจึงได้เห็นข่าวว่าร้านค้าในย่านบรรทัดทองทยอยปิดตัวกันไปเรื่อยๆ

อย่างไรก็ดีเมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง หากบรรทัดทองกำลังอยู่ในช่วงขาลง ถามว่าตอนนี้ย่านไหนที่กำลังถูกพูดถึงมากและคาดหมายว่าอาจจะมาแทน “บรรทัดทอง”

ถ้าไปถาม Gen Z ก็คงแนะนำให้ไป “ถนนทรงวาด” ซึ่งอยู่ในเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งของย่านเยาวราช โดยมี 2 ช่วง ช่วงแรกตั้งแต่บริเวณที่ตัดกับถนนจักรวรรดิ (สะพานพุทธ) ไปจนถึงบริเวณถนนราชวงศ์ (ซอยสมยศ) ช่วงที่ 2 เริ่มจากถนนราชวงศ์อีกฝั่งไปตัดกับถนนเจริญกรุง

ตลาดพลู
ภาพจาก https://bit.ly/4nfpbxg

ปัจจุบันถนนทรงวาดมีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ ๆ ให้เลือกนั่งพักชิลมากมาย และยังมีจุดแวะเช็กอินถ่ายรูปสวย ๆ ตลอดสาย โดยเฉพาะผลงานสตรีตอาร์ตบนกำแพงเก่าแก่ในหลาย ๆ จุด เหมาะแก่การไปเดินเล่นถ่ายรูปชิล ๆ ในวันหยุด จะเรียกว่าเป็นทำเลที่เน้น Story ก็น่าจะได้

ว่ากันว่าถนนเส้นนื้คือจุดกำเนิดของเหล่าบรรดาเจ้าสัวเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น ซีพี, ไทยเบฟ, เครือสหพัฒน์ หรือแม้แต่ ธนาคารกรุงเทพสาขาแรก ล้วนแล้วแต่มีจุดกำเนิดอยู่ที่นี่ และด้วยความที่ถนนทรงวาด เป็นพื้นที่ของคนทุกกลุ่มทุกเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นไทย – จีน – ตะวันตก จึงเรียกได้ว่าเป็นย่านของพหุวัฒนธรรม และมีความหลากหลายทั้งศาลเจ้าจีน, มัสยิดแขก และวัดไทย

ถ้าจะถามว่าอะไรคือปัจจัยทำให้ถนนทรงวาดมาแรงในระยะหลัง ก็ต้องพูดถึงพลังของสื่อโซเชียลมีเดีย อย่าง TikTok เหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ต่างเข้ามารีวิว ทำคอนเทนต์บนถนนเส้นนี้เป็นจำนวนมาก ไม่ต่างจากบรรทัดทองในช่วงแรกที่ดังได้เพราะพลังของโซเชี่ยลมีเดียเช่นกัน และด้วยความฮิตดังกล่าวนี้ ปัจจุบันราคาค่าเช่าย่านทรงวาด ดีดตัวขึ้นมากว่า 3 เท่า จากแต่ก่อน 1 คูหา สามารถหาเช่าได้ในราคา 10,000 ต้น แต่ตอนนี้ค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 40,000 บาท

ตลาดพลู
ภาพจาก https://bit.ly/4lirPAx

และอีกย่านหนึ่งที่ดังมากมาแรงไม่แพ้กันคือ “ตลาดพลู” ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเทิดไทย บริเวณตลาดตั้งแต่วัดเวชชนาราชิน ไปจนถึงวัดขุนจันทร์ ถนนภายในบริเวณนี้เรียกว่าถนน ตลาดพลู มีความเด่นในด้านการเป็นทั้งจุดเช็คอิน ร้านอาหารชื่อดัง หลายร้านเช่น ข้าวหมูแดง สุณี , กุยช่ายตลาดพลู ,ลิ้มเชิญชิม ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ , นายบ๊วย ตลาดพลู กระเพาะปลา , เต็กเฮง หมี่กรอบ และยังเป็นย่านที่มีสถานที่เก่าแก่ควรค่าแก่การถ่ายภาพและเป็นจุดเช็คอินเช่น ชุมชนเก่าย่านตลาดพลู รวมถึง สถานีรถไฟตลาดพลู

ทั้งถนนทรงวาดและตลาดพลู เป็นทำเลที่มีความคล้ายคลึงในแง่ของวัฒนธรรมที่ผสมผสานกับธุรกิจยุคใหม่

  • ถนนทรงวาด : จุดเช็คอินยอดนิยมของวัยรุ่น, นักท่องเที่ยวสายอาร์ต
  • ตลาดพลู : เป็นทั้งตลาดชุมชน-ศูนย์อาหาร-แหล่งสตรีทฟู้ดยามเย็นและดึก

ถนนทั้ง 2 เส้นนี้สามารถดึงดูดวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปตึกโบราณ สไตล์สถาปัตยกรรม และกิจกรรมงานศิลป์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่มาก และจากข้อมูลเบื้องต้นยังพบว่า ถนนทรงวาดมีร้านค้าร้านอาหารอยู่ประมาณ 20 – 30 ร้านค้า

ส่วนตลาดพลูมีแผงค้าและร้านอาหารประมาณ 128 แห่ง แม้จะไม่มีสถิติรายได้ที่ชัดเจน แต่ถ้าประเมินจากพฤติกรรมผู้บริโภค ถ้ามีผู้มาเยือนประมาณ 2,000 – 5,000 คน/วัน ใช้จ่ายเฉลี่ย 100 – 300 บาท รายได้รวมทั้งย่านต่อวันประมาณ 200,000 – 1.5 ล้านบาท คิดเป็นรายได้ต่อเดือนประมาณ 10 – 40 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นทำเลที่กำลังฮิต ราคาค่าเช่าจึงอาจแปรผันสูงขึ้นตามไป และต้องไม่ลืมว่ามนต์เสน่ห์ของถนนทรงวาดและตลาดพลู อาจจะแตกต่างจากบรรทัดทองในแง่ของประวัติศาสตร์ และจุดเด่นที่เน้นการเป็นถนนสายอาร์ต ถ้าไม่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดร้านในย่านนี้โดยคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์และรายได้ อาจทำให้มนต์เสน่ห์หมดไป และมีจุดจบไม่ต่างจากบรรทัดทองที่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นทำเลทองในเมืองไทย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด