ต้นทุนค่าเสียโอกาส ในการลงทุนแฟรนไชส์ คุ้มค่าแค่ไหน?

ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) อธิบายให้เข้าใจง่ายคือ ต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินจริง แต่เป็นค่าเสียโอกาสที่ จะใช้ปัจจัยนั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งการคำนวณหาต้นทุนค่าเสียโอกาสนั้นส่วนใหญ่จะทำได้ยาก เพราะเป็นการคำนวณจากการคาดคะเนเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เช่น ถ้าเรามีเงินอยู่ 100,000 บาท และมีทางเลือกอยู่ 3 ทางคือ

  1. นำเงินไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี = 1,500 บาท/ปี (ไม่มีความเสี่ยง แต่ผลตอบแทนน้อย)
  2. นำเงินไปปล่อยกู้ ดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน = 24,000 บาท/ปี (ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนมาก)
  3. นำเงินไปซื้อทองคำ ได้ประมาณ 2 บาท เพื่อไว้เก็งกำไร (ความเสี่ยงสูงถ้าราคาทองปรับลง)

จะเห็นว่าเรามีเงิน100,000 แต่มีทางเลือกหลายทางว่าจะเอาเงินไปทำอะไร และไม่ว่าเราตัดสินใจนำเงินไปใช้ในทางไหน เท่ากับว่าเราจะมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในทางที่เราไม่ได้เลือก ซึ่งการตัดสินใจก็มีอีกหลายองค์ประกอบเป็นปัจจัยให้ร่วมพิจารณา

ต้นทุนค่าเสียโอกาส

ในการลงทุนแฟรนไชส์ก็เช่นกันเท่ากับว่าเราจะมีต้นทุนค่าเสียโอกาสเช่นกัน แต่ทำไมถึงกล้าพูดได้ว่าการลงทุนในแฟรนไชส์คือการจ่ายต้นทุนค่าเสียโอกาสที่คุ้มค่ามากที่สุด ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าการลงทุนในแฟรนไชส์มีข้อดีอะไรบ้าง

  • สามารถเริ่มต้นได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาเริ่มจากศูนย์
  • ได้การสนับสนุนจากทางแบรนด์
  • ไม่ต้องสร้างแบรนด์เอง ไม่ต้องสร้างฐานลูกค้า ต่อยอดได้ทันที
  • มีอุปกรณ์+วัตถุดิบ +การสอนสูตร
  • การวางระบบบริหารจัดการให้เปิดร้านได้อย่างมืออาชีพ
  • การสนับสนุนด้านการตลาดและการพัฒนาสินค้าใหม่

ถ้าพิจารณาในแง่ของ “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” สมมุติว่าเรามีเงิน 1 ล้านบาท พิจารณาว่าระหว่างสร้างแบรนด์เองกับซื้อแฟรนไชส์อะไรมีค่าต้นทุนเสียโอกาสที่จะมากกว่ากัน

ต้นทุนค่าเสียโอกาส

แผนที่ 1 เปิดร้านเอง ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ทุกอย่างต้องทำเอง คิดสูตร จัดร้านแต่งร้าน สร้างฐานลูกค้า ทำการตลาด แต่มีข้อดีที่รายได้จะเป็นของเราแบบ 100% เต็ม ไม่ต้องจ่ายค่าการตลาดใดๆให้แฟรนไชส์

แผนที่ 2 เปิดร้านแฟรนไชส์ เลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมกับเงินทุนที่มี ได้ระบบบริหารจัดการ อุปกรณ์+วัตถุดิบพร้อมเปิดร้าน มีแบรนด์ มีฐานลูกค้าให้พร้อม แต่ที่เราต้องจ่ายคือค่าธรรมเนียมเช่นค่าส่วนแบ่งยอดขาย ค่ารอยัลตี้ฟรีส์ เป็นต้น

ถ้าเราเลือกแฟรนไชส์ค่าเสียโอกาสคือเราไม่มีโอกาสในการสร้างแบรนด์ได้เอง ต้องทำตามระบบของแฟรนไชส์อย่างเคร่งครัด รายได้ก็ต้องหักจ่ายให้กับแฟรนไชส์ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ทีนี้ก็ต้องมาพิจารณาในเรื่องความเสี่ยงว่าหากเรามีเงินจำนวน 1 ล้านนี้เราจะเสี่ยงลงทุนแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนอาจเสี่ยงที่จะเปิดร้านเอง เขาก็จะมีค่าเสียโอกาสที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากแฟรนไชส์ แต่ได้แบรนด์ของตัวเอง เป็นต้น

ต้นทุนค่าเสียโอกาส

เหนือสิ่งอื่นใดก็ตาม รายละเอียดที่คนนำมาเป็นเกณฑ์ตัดสินใจมากที่สุด คือ “รายได้” หากเปิดร้านเอง ในทำเลที่ขายดี สินค้ามีคุณภาพลูกค้าให้การยอมรับ การเติบโตอาจจะช้า แต่อาจจะดีในระยะยาว รายได้ต่อเดือนเฉลี่ยแล้วน่าพอใจ ก็อาจจะขยายเป็นสาขาที่ 2 ที่ 3 หรืออาจจะขายเป็นแฟรนไชส์ตัวเองในอนาคต

หรือถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่อยากเสี่ยง การลงแฟรนไชส์มีความมั่นคงมากกว่าไม่ต้องสร้างฐานลูกค้า ไม่ต้องสร้างแบรนด์เอง แต่การจะเลือกแบรนด์แฟรนไชส์ใดก็ต้องดูว่าสร้างยอดขายได้ดีแค่ไหน โอกาสคืนทุนมากน้อยอย่างไร

ดังนั้นคำว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสมันขึ้นอยู่กับว่าเราจะตัดสินใจแบบไหน ซึ่งทุกแฟรนไชส์ก่อนเราเลือกลงทุนเขาก็จะมีข้อมูลให้พิจารณาทั้งเคสแย่สุด , มาตรฐาน และกรณีที่ดีที่สุด ส่วนใหญ่มีการอ้างอิงตัวเลขให้เราเห็นภาพชัดเจนเพื่อให้เราใช้ประกอบการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายได้

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด