ชาจีนเซินเจิ้น Molly Tea ชานมมะลิ 900 สาขาทั่วโลก
Molly Tea (โม่ลี่หน่ายป๋าย) แบรนด์ชานมมะลิพรีเมียมเปิดสาขาแรกในเซินเจิ้น ประเทศจีน ปี 2021 โดยมี Zhang Bochung เป็นผู้ก่อตั้ง สามารถขยายสาขาไปแล้วกว่า 900 แห่งทั่วโลกภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี แม้จะเปิดตัวในช่วงการระบาดโควิด-19 แต่ Molly Tea ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลยุทธ์ที่ผสมผสานความดั้งเดิมและความทันสมัยอย่างลงตัว
เอกลักษณ์ของ Molly Tea เน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เช่น ใบชาจากภูเขา ดอกมะลิสด และนมโคสดแท้จากฟาร์ม ทำให้ได้รสชาติกลมกล่อมและหอมหวาน มีเมนูเด่น ได้แก่ Premium Jasmine Milk Tea, Snowy Jasmine (ชานมมะลิปั่น) และ Premium Jasmine Oat Milk Tea

แบรนด์นำเสนอ “New Chinese Style” เป็นการผสมผสานชาดอกไม้แบบดั้งเดิมของจีนกับนมสดและนมโอ๊ต เพื่อให้เข้ากับรสนิยมของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการประสบการณ์การดื่มชาที่ทันสมัยและมีสไตล์แบบจีนสมัยใหม่
จุดเด่นของ Molly Tea ใช้โลโก้และแก้วสีชมพู ขาว ดำ ทำให้มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่าย มีออกแบบการตกแต่งร้านที่หรูหรา และมีการจัดวางมาสคอตน้อง Molly ไซส์ยักษ์ในร้าน เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับแบรนด์

Molly Tea เริ่มขายแฟรนไชส์ในปี 2023 และสามารถขยายสาขาไปยังเมืองใหญ่ทั่วประเทศจีน รวมถึงขยายสาขาไปต่างประเทศแห่งแรกที่ฟลัชชิ่ง นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นพื้นที่ที่มีชุมชนชาวจีนหนาแน่น โดยปัจจุบันสาขาในนิวยอร์กสามารถทำรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 480,000 ดอลลาร์ ราคาขายอยู่ที่ 6.39-7.80 ดอลลาร์ต่อแก้ว
ช่วงเดือน ต.ค. 2024 แฟรนไชส์ Molly Tea เปิดสาขาแห่งที่ 2 ในเขตอ่าวซานฟรานซิสโก สามารถทำยอดขายได้กว่า 28,000 ดอลลาร์ในวันแรก และมีรายได้รวมกว่า 82,000 ดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 3 วัน นับว่าเป็นสถิติยอดขายใหม่สำหรับแบรนด์ชานมจากจีนที่ขยายตลาดในต่างประเทศ

สาเหตุที่แฟรนไชส์ Molly Tea บุกเบิกตลาดในตลาดต่างประเทศ โดยเลือกสหรัฐอเมริกา แทนที่จะเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหมือนแฟรนไชส์ไอศกรีมและชา Mixue
เพราะคุณจาง (Zhang) ผู้ก่อตั้งมองว่าสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นตลาดที่มีความต้องการสูง และมีการแข่งขันค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับตลาดชาในประเทศอาเซียนที่มีการแข่งขันกันสูง

ปัจจุบันนอกจากแฟรนไชส์ Molly Tea จะขยายสาขาในสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังขยายสาขาไปในแคนาดา ไทย ออสเตรเลีย และอังกฤษ
ในสหรัฐอเมริกาสาขาที่ 2 เปิดตัวเมื่อ 2 ต.ค. 2024 ในซานฟรานซิสโก ทำยอดขายวันแรกได้กว่า 28,000 ดอลลาร์ และมีรายได้รวม 82,000 ดอลลาร์ภายใน 3 วัน นับว่าเป็นการสร้างสถิติยอดขายใหม่สำหรับแบรนด์ชาจากจีนที่ขยายตลาดในต่างประเทศ

กลยุทธ์ดำเนินธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ของ Molly Tea จะให้ความสำคัญในเรื่องการควบคุมคุณภาพมาตรฐานและรายได้ของแฟรนไชส์ซี พูดง่ายๆ ว่าแฟรนไชส์ซีต้องมีรายได้และอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ทางแบรนด์จึงต้องระมัดระวังในการขยายสาขา มีความสมเหตุสมลผล ไม่ขายสาขารวดเร็วเกินไป ขยายแบบค่อยเป็นค่อยไป
โดยในแต่ละปีจะมีผู้สมัครแฟรนไชส์ Molly Tea มากกว่า 10,000 ใบสมัคร แต่ทางแบรนด์คัดเลือกและอนุมัติเพียงแค่ 100 ราย เพื่อต้องการให้เครือข่ายแฟรนไชส์มีคุณภาพมาตรฐาน ถ้าเป็นในประเทศไทยก็เปรียบได้กับแฟรนไชส์กาแฟ “คาเฟ่ อเมซอน” แต่ละเดือนมีคนสมัครแฟรนไชส์กว่า 500 สมัคร แต่ OR อนุมัติเพียงแค่ 500 รายต่อปี

ที่สำคัญก็คือ Molly Tea มีการปรับโมเดลร้านให้มีขนาดเล็กลงจากพื้นที่ปกติทั่วไปประมาณ 60 ตารางเมตร เหลือเพียง 35 ตารางเมตร เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและสร้างผลกำไรให้กับสาขาแฟรนไชส์
สำหรับในนประเทศไทย แฟรนไชส์ Molly Tea ได้เปิดสาขาแรกที่เซ็นเตอร์พอยท์ สยามสแควร์ 3 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 โดยมีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมการแสดงสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากศิลปินไทยชื่อดัง เช่น “ปอร์เช่ ธนธรณ์” และ “ชาช่า กนกรักษ์” สาขาที่ 2 เปิดอยู่ที่ One Bangkok และสาขาที่ 3 ชั้น 1 เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ขายเมนูราคาเริ่มต้น 110-160 บาท

สรุป การเข้ามาเปิดตลาดในไทยของ Molly Tea แน่นอนว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคและความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชารูปใหม่จากจีนในไทย เพราะที่ผ่านมาแบรนด์แฟรนไชส์ชาจากจีนเข้ามาขยายสาขาในไทยจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น CHAGEE, MIXUE, ChaPanda บางแบรนด์เริ่มขยายเกินศักยภาพ มีร้านห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยเมตร
ที่สำคัญพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย ส่วนใหญ่นิยมลองของใหม่ตามกระแส แต่ไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ความถี่ในการบริโภคชาพรีเมียมลดลงเมื่อเทียบกับแบรนด์ mass ทั่วไป รวมถึงต้องเจอปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอยหรือรายได้ครัวเรือนตึงตัว ความพร้อมในการจ่ายของผู้บริโภคเกี่ยวกับ “เครื่องดื่มพรีเมียม” จะลดลงก่อน
แหล่งข้อมูล
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)