กลยุทธ์แตกแบรนด์ Market Segmentation “กินรวบทุกตลาด”

ในภาวะเศรษฐกิจที่การแข่งขันดุเดือด ทุกวันนี้เราจะเห็นทุกแบรนด์เน้นการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ทุกกลยุทธ์ด้านการตลาดถูกนำมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งคือ “กลุ่มลูกค้า” ในปัจจุบันมีความหลากหลาย หลายแบรนด์จึงเลือกใช้การตลาดแบบ “Market Segmentation”

คำว่า Market Segmentation อธิบายง่ายๆ คือ การกำหนดว่า “จะขายของให้ใคร”เช่นลูกค้าทั่วไปในระดับเริ่มต้น , ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง หรือ ขายสินค้าให้กับลูกค้าที่ไม่ได้เจาะจงว่าต้องการสินค้าแบรนด์ใด สิ่งสำคัญคือต้องแยกกลุ่มลูกค้าให้ชัดและกำหนดสินค้าให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มนำมาสู่การ “แตกไลน์แบรนด์ใหม่” ของธุรกิจ

และด้วยกลยุทธ์ Market Segmentation ที่ว่านี้เป็นเหตุผลให้ 7-Eleven ต้องมีร้านกาแฟ ถึง 3 แบรนด์

1. All Café เน้นเจาะลูกค้าระดับเริ่มต้น ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าและความสะดวก เฉพาะ All Café มีสาขาใน 7-Eleven กว่า 11,000 แห่ง สร้างความได้เปรียบในการต่อรองวัตถุดิบกับซัพพลายเออร์ได้ เมนูเริ่มต้นแก้วละ 30 บาท บริการลูกค้าได้รวดเร็ว

2. KUDSAN Bakery & Coffee เน้นเจาะลูกค้ากลุ่ม Mass กึ่ง ๆ พรีเมียม วางคอนเซปต์เป็น ไลฟ์สไตล์คาเฟ ที่มีทั้งเมนูกาแฟสดและเบเกอรีอบร้อน จุดเด่นคือการชงที่จะใช้บาริสต้า และด้วยความที่พรีเมี่ยมกว่าราคาจะสูงกว่าด้วย

3. All Select เจาะลูกค้ากลุ่มพรีเมียม เป็นแบรนด์กาแฟใหม่ล่าสุดของ 7-Eleven ที่เปิดตัวได้ไม่นาน ใช้เมล็ดกาแฟอะราบิกาจากโคลอมเบีย โดย All Select จะมีความพรีเมียมมากที่สุด เมื่อเทียบกับแบรนด์กาแฟอื่น ๆ ใน 7-Eleven และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 50-80 บาทต่อแก้ว สาขาส่วนใหญ่ของ All Select จะอยู่ในโซนเมืองของกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับแบรนด์ที่ต้องการจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ

และไม่ใช่แค่สินค้าแบรนด์ไทยเท่านั้น แม้แต่สินค้าจากจีนก็ใช้ Market Segmentation ในการทำตลาดด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง สมาร์ทโฟนที่ 1 แบรนด์มีแตกไลน์ไปอีกหลายยี่ห้อ เช่น

กลยุทธ์แตกแบรนด์

  • Xiaomi มีแบรนด์ย่อยหลายแบรนด์ เช่น Redmi, POCO, Black Shark
  • Huawei แตกแบรนด์ย่อย เป็น Honor
  • Vivo ทำแบรนด์ย่อยอีกแบรนด์ ชื่อว่า iQOO

เป้าหมายของการทำ Sub-brand แบบนี้ จุดเด่นคือ “เพิ่มความชัดเจนของแบรนด์” เพื่อให้สามารถสื่อสารได้ชัดขึ้น ตรงตามความต้องการของลูกค้ากลุ่มเฉพาะได้มากขึ้นโดยแบรนด์ย่อยที่เกิดขึ้นนั้น อาจยังมีเรื่องของกลิ่นอาย หรือ DNA บางอย่างของแบรนด์หลักร่วมด้วย

อีกเหตุผลน่าสนใจในการทำตลาดแบบ Market Segmentation ไม่ใช่เพื่อหวังเพิ่มยอดขาย หรือต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าในหลากหลายระดับเท่านั้น แต่วิธีนี้ยังช่วย “ลดความเสี่ยง” ในการทำธุรกิจได้ด้วย ยกตัวอย่าง You&I ร้านสุกี้พรีเมียมบุฟเฟต์ ที่ได้แตกไลน์แบรนด์ใหม่คือ “ลายเส้น” เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแบบพรีเมี่ยม

กลยุทธ์แตกแบรนด์
ภาพจาก www.facebook.com/LinesenTH

แน่นอนว่าการทำแบรนด์ใหม่ครั้งนี้แม้หลายคนจะมองว่า You&I เองก็ฮิตติดตลาดอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่มีแบรนด์เดียว โมเดลธุรกิจเดียวก็ค่อนข้างมีความเสี่ยงเกินไป ในมุมของนักลงทุน

มีข้อมูลที่น่าสนใจระบุไว้อีกว่า ธุรกิจใดก็ตามที่ทำการตลาดด้วย Market Segmentation อย่างจริงจัง มีโอกาสในการเพิ่มยอดขายได้กว่า 10-30% ในช่วง 6-12 เดือนแรก แต่วิธีนี้แม้จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับแต่เคล็ดลับที่จะทำให้ประสบความสำเร็จจริงๆ คือการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าที่ยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ก็เพื่อให้ไลน์สินค้าใหม่สามารถครองใจลูกค้าต่อไปได้เรื่อยๆ 

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด