Sub-Area License สุดยอดโมเดลแฟรนไชส์ 7-Eleven ที่ทรงพลัง

เชื่อหรือไม่ว่าการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน หากต้องการขยายกิจการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สามารถทำได้หลายรูปแบบ บางแบรนด์เลือกขยายกิจการด้วยการลงทุนเปิดสาขาเองแบบค่อยเป็นค่อยไป

ขณะที่บางแบรนด์เลือกขยายโดยใช้โมเดลแฟรนไชส์ เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจและขยายตลาดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์การขยายสาขาแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยม และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือ Sub-Area License หรือบางครั้งเรียกว่า Sub-Franchise ซึ่งเป็นการให้สิทธิ์ในการบริหารแฟรนไชส์ในพื้นที่หนึ่งแบบย่อยๆ

แล้วยังมีรูปแบบอื่นๆ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น

  • Single Unit Franchise (แฟรนไชส์รายเดียว) ผู้รับสิทธิ์ได้สิทธิ์เปิดร้าน 1 สาขา บางแบรนด์อาจให้สิทธิ์เปิดเพิ่มได้อีก
  • Multi-Unit Franchise (แฟรนไชส์หลายสาขา) ผู้รับสิทธิ์ได้รับสิทธิ์เปิดหลายสาขาในพื้นที่ที่ตกลงกัน
  • Master Franchise ผู้รับสิทธิ์ (Master Franchisee) ได้สิทธิ์ดูแลการดำเนินการแฟรนไชส์ในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น ทั้งประเทศ หรือภูมิภาค มีสิทธิ์ในการหาผู้รับสิทธิ์รายย่อย (Sub-franchisee) ได้ ทำหน้าที่เหมือน
  • Franchisor ภายในพื้นที่หรือประเทศนั้น ยกตัวอย่าง ซีพีออลล์ ได้รับสิทธิ์เป็น Master Franchise ของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศไทย
  • Area Development Agreement (ข้อตกลงพัฒนาพื้นที่) คล้ายกับ Multi-Unit Franchise แต่มีแผนการขยายหลายสาขาในระยะเวลาที่กำหนด ผู้รับสิทธิ์มีภาระผูกพันในการขยายตามแผนข้อตกลง เช่น เปิดให้ครบ 10 สาขาภายใน 5 ปี

ส่วน Sub-Area License ที่จะพูดถึงเป็นการแบ่งสิทธิ์ให้แฟรนไชส์ซีในพื้นที่หนึ่งหรือภูมิภาคหนึ่งจาก Master Franchise หรือ Franchisor โดยตรง ผู้ได้รับสิทธิ์จะสามารถหาผู้ซื้อแฟรนไชส์รายย่อยในเขตที่กำหนดได้ด้วย โมเดลนี้มีหลายๆ แบรนด์แฟรนไชส์ในประเทศไทยกำลังใช้กันอยู่

Sub-Area License สุดยอดโมเดลแฟรนไชส์ 7-Eleven ที่ทรงพลัง

ยกตัวอย่างแฟรนไชส์ที่ใช้โมเดล Sub-Area License ชัดเจน ก็คือ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven รูปแบบการขยายแฟรนไชส์ มีทั้ง

  • CPALL ขยายสาขาเอง โดยสิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มีจำนวน 7,959 สาขา (คิดเป็น 51%)
  • ขายแฟรนไชส์ให้นักลงทุนทั่วไป หรือเรียกว่าร้าน SBP (Store Business Partner) และให้สิทธิ์แฟรนไชส์แบบพัฒนาพื้นที่ หรือ Sub-Area License นั่นเอง จำนวน 7,636 สาขา (คิดเป็น 49%)
  • เท่ากับว่าจำนวนสาขาทั้งหมดของ 7-Eleven สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 15,595 สาขาทั่วประเทศ
  • แบ่งออกเป็น ต่างจังหวัด: 9,044 สาขา (58%) และ กรุงเทพฯ และปริมณฑล 6,551 สาขา (42%)
  • รูปแบบสาขา แบบเดี่ยว (Stand-Alone) 13,401 สาขา (86%) และ สาขาในปั๊มน้ำมัน ปตท. 2,194 สาขา (14%)
  • ส่วนสาขาในต่างประเทศ กัมพูชา จำนวน 123 สาขา และ สปป.ลาว จำนวน 18 สาขา

ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568

Sub-Area License สุดยอดโมเดลแฟรนไชส์ 7-Eleven ที่ทรงพลัง

  • รายได้จากการขายและบริการ 117,706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • กำไรขั้นต้น 34,494 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 9,155 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 35.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน)

เบื้องหลังกลยุทธ์การเติบโตของ 7-Eleven ในต่างจังหวัด

Sub-Area License สุดยอดโมเดลแฟรนไชส์ 7-Eleven ที่ทรงพลัง

หากย้อนกลับไปในปี 2531 ตอนที่ 7-Eleven เพิ่งเข้ามาเปิดในประเทศไทยใหม่ๆ ภายใต้การบริหารของบริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ CPALL ในปัจจุบัน

สาขาแรกของ 7-Eleven ในไทยเปิดที่ถนนพัฒน์พงศ์ ซึ่งในเวลานั้น “ร้านสะดวกซื้อ” ยังเป็นคำที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยนัก แต่ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ มองเห็นอนาคตของธุรกิจค้าปลีก จึงต้องการผลักดันให้ 7-Eleven ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วทั่วประเทศ ทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองต่างจังหวัด

โมเดลหลักของการขยาย 7-Eleven

Sub-Area License สุดยอดโมเดลแฟรนไชส์ 7-Eleven ที่ทรงพลัง

ในช่วงเริ่มต้น CPALL ใช้ 2 รูปแบบในการขยายแฟรนไชส์ คือ

  • บริษัทลงทุนเปิดร้านเอง
  • ขายแฟรนไชส์ให้ผู้สนใจ คือร้าน SBP (Store Business Partner)

อย่างไรก็ตาม การที่ 7-Eleben จะบุกตลาดต่างจังหวัดในยุคนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้คนในพื้นที่ชนบทหรือจังหวัดห่างไกลยังไม่คุ้นกับร้านสะดวกซื้อแบบตะวันตก แถมความต้องการของลูกค้าแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันอย่างมาก ทั้งด้านสินค้า พฤติกรรม และวัฒนธรรมการจับจ่าย

ปัญหาเหล่านี้นำไปสู่โมเดล Sub-Area License

เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในต่างจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ CPALL จึงเลือกใช้กลยุทธ์ใหม่ โดยการจับมือกับกลุ่มธุรกิจท้องถิ่น ที่มีความเข้าใจตลาดในพื้นที่นั้นๆ อยู่แล้ว

โมเดลนี้เรียกว่า Sub-Area License หรือแปลตรงตัวว่า “การรับสิทธิช่วงอาณาเขตบริหารแฟรนไชส์”

Sub-Area License คืออะไร

Sub-Area License สุดยอดโมเดลแฟรนไชส์ 7-Eleven ที่ทรงพลัง

คือการที่ CPALL มอบสิทธิ์ในการเปิดและบริหาร 7-Eleven ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นเพียงรายเดียวในแต่ละพื้นที่ โดยผู้ได้รับสิทธิ์เหล่านี้สามารถเปิดร้าน 7-Eleven ภายใต้แบรนด์ได้เอง, ขยายสาขาเพิ่มเติมในพื้นที่ที่รับผิดชอบม ขายแฟรนไชส์ต่อให้ผู้อื่นในพื้นที่นั้น ได้โดยตรงแทน CPALL

ส่วนทาง CPALL เอง จะคอยให้การสนับสนุน เช่น ระบบจัดซื้อ จัดส่ง และมาตรฐานการบริหารบางประการ

ตัวอย่างกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นที่ได้รับสิทธิ์ Sub-Area License

CPALL เริ่มต้นโมเดลนี้กับ 4 กลุ่มธุรกิจท้องถิ่นหลักๆ ใน 4 ภูมิภาค ได้แก่

1.ภาคเหนือ – กลุ่มตันตราภัณฑ์ (บริษัท ชอยส์ มินิ สโตร์ จำกัด)

  • รับสิทธิ์ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน
  • เดิมทีทำธุรกิจร้านโชห่วย, ห้างริมปิง และห้างสรรพสินค้าในพื้นที่
  • ปี 2567 รายได้ 11,858 ล้านบาท กำไร 628 ล้านบาท

2.ภาคอีสาน – กลุ่มยิ่งยง (บริษัท ยิ่งยง มินิมาร์ท จำกัด)

  • รับสิทธิ์ใน อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญ
  • เจ้าของห้างยิ่งยง ห้างท้องถิ่นเก่าแก่ของชาวอุบล
  • ปี 2567 รายได้ 6,130 ล้านบาท กำไร 217 ล้านบาท

3.ภาคใต้ฝั่งอันดามัน – กลุ่มงานทวี (บริษัท งานหนึ่ง จำกัด)

  • รับสิทธิ์ใน ภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง
  • ทำธุรกิจหลากหลายทั้งเหมืองแร่ สวนยาง โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์
  • ปี 2567 รายได้ 2,583 ล้านบาท กำไร 125 ล้านบาท

4.สามจังหวัดชายแดนใต้ – กลุ่มศรีสมัย (บริษัท ยะลาเซเว่น จำกัด)

  • รับสิทธิ์ใน ปัตตานี ยะลา นราธิวาส
  • เชี่ยวชาญด้านค้าส่ง และมีความเข้าใจลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมในพื้นที่
  • ปี 2567 รายได้ 3,212 ล้านบาท กำไร 97.6 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าจาก 4 กลุ่มทุนที่ได้รับสิทธิ์ Sub-Area License ของ 7-Eleven กลุ่มตันตราภัณฑ์ ถือเป็นแชมป์ทั้งรายได้และกำไร โดยมีรายได้และกำไรสูงสุดในบรรดาทุกกลุ่ม ด้วยยอดขายเกือบ 1.2 หมื่นล้านบาท ทำอัตรากำไรสุทธิ 5.3% สูงที่สุดในกลุ่ม แสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและมาร์จิ้นที่ดี

ส่วนกลุ่มศรีสมัย 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีรายได้ 3,212 ล้านบาท และกำไร 97.6 ล้านบาท แม้จะดูน้อยกว่าเจ้าอื่น แต่ก็ต้องมองว่า เป็นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความท้าทายเรื่องความมั่นคงและพฤติกรรมผู้บริโภคเฉพาะทาง

ผลลัพธ์โมเดล Sub-Area License

จะเห็นได้ว่าการให้สิทธิ์ Sub-Area License กลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมากในการขยาย 7-Eleven ไปสู่พื้นที่ห่างไกลในยุคนั้น เพราะผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในพื้นที่ และปรับการทำตลาดให้เข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างเหมาะสม ทำให้ปัจจุบันเราได้เห็นร้าน 7-Eleven อยู่แทบทุกมุมถนน ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือจังหวัดเล็ก

เครดิตส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์ Sub-Area License ที่ซีพีออลล์วางรากฐานการเติบโตไว้ตั้งแต่ต้น จนปัจจุบันมีจำนวนสาขา 15,595 แห่งทั่วประเทศ

Sub-Area Franchise ของร้านกาแฟพันธุ์ไทย

นอกจาก 7-Eleven มีการขยายสาขาในรูปแบบ Sub-Area License แล้ว แฟรนไชส์ร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่มากกว่า 1,500 สาขา ก็มีโมเดล Sub-Area Franchise ด้วยเหมือนกัน เป็นโมเดลสำหรับนักธุรกิจท้องถิ่น เปิดโอกาสให้นักลงทุนเป็นเจ้าของร้านกาแฟพันธุ์ไทยได้หลายสาขาในพื้นที่หรือจังหวัดของตัวเอง พร้อมรับสิทธิ์ในการบริหารจัดการอย่างเต็มรูปแบบ

Sub-Area Franchise ของร้านกาแฟพันธุ์ไทย อาจจะแตกต่างจาก Sub-Area Franchise ของแฟรนไชส์ร้าน 7-Eleven ที่ให้สิทธิ์ 4 กลุ่มทุนในแต่ละภูมิภาค สามารถขายแฟรนไชส์ให้นักลงทุนในแต่ละจังหวัดได้

Sub-Area Franchise ของร้านกาแฟพันธุ์ไทย จะคล้ายๆ กับแฟรนไชส์ไอศกรีมแดรี่ควีนในเครือไมเนอร์ฯ ที่ให้สิทธ์ผู้ซื้อแฟรนไชส์เปิดร้านได้ 3 สาขาในจังหวัดเดียว ช่วยให้นักลงทุนท้องถิ่นจะได้ดูแลการดำเนินงานในเขตที่ตนมีความเชี่ยวชาญ ทั้งในด้านทำเล การตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภค ช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารงานได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

ที่สำคัญโมเดลนี้ช่วยลดข้อจำกัดเดิม เช่น ไม่ต้องรอคิวนานในการซื้อแฟรนไชส์, ไม่ต้องเสียเวลาหาทำเลด้วยตัวเอง ส่งผลให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้รวดเร็วและมีระบบมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของ Sub-Area License

ขยายสาขาหลายแห่งในอาณาเขตพื้นที่ที่คุ้นเคย ผู้รับสิทธิ์มักเป็นผู้ประกอบการในท้องถิ่นที่มีความเข้าใจตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และสภาพการแข่งขันในพื้นที่เป็นอย่างดี จึงสามารถกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และสามารถขยายสาขาได้หลายแห่งภายในเขตที่ได้รับสิทธิ์ ส่งผลให้ธุรกิจมีการขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว

ลดภาระในการบริหารของบริษัทเจ้าของแบรนด์

การมอบสิทธิ์การบริหารให้กับผู้ประกอบการในแต่ละพื้นที่ ช่วยแบ่งเบาภาระของบริษัทแม่ในด้านการบริหารจัดการ การคัดเลือกทำเล และการควบคุมคุณภาพประจำวัน ทำให้สามารถมุ่งเน้นการพัฒนาแบรนด์และระบบสนับสนุนได้อย่างเต็มที่

สร้างผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย

การขยายธุรกิจในรูปแบบนี้สร้างความร่วมมือที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในด้านการเติบโตของแบรนด์ และโอกาสในการสร้างรายได้ของผู้รับสิทธิ์ ซึ่งสามารถบริหารหลายสาขาในพื้นที่ที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญ

สรุปก็คือ การขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ไปยังต่างจังหวัดในยุคแรกๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิด เพราะแต่ละพื้นที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ทั้งวัฒนธรรม ความต้องการของลูกค้า และพฤติกรรมการจับจ่ายที่แตกต่างกัน

CPALL จึงเลือกใช้โมเดลที่เรียกว่า Sub-Area License มอบสิทธิ์ให้พันธมิตรท้องถิ่นที่มีความเข้าใจตลาดในพื้นที่นั้นๆ เข้ามาช่วยบริหาร และขยายสาขา 7-Eleven แทนบริษัทแม่ วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ได้เร็วขึ้น แต่ยังสร้างความแข็งแรงให้กับแบรนด์ โดยใช้จุดแข็งของพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นที่เข้าใจและรู้จริงในแต่ละภูมิภาค

จากตัวอย่างของกลุ่มพันธมิตรทั้ง 4 เจ้า ในภาคเหนือ, อีสาน, ภาคใต้ฝั่งอันดามัน และชายแดนใต้ จะเห็นได้ว่าแม้ CPALL จะเป็นบริษัทใหญ่ มีทุนหนา และมีระบบโมเดลธุรกิจที่เพียบพร้อม แต่การขยายสาขาให้เติบโตอย่างยั่งยืน ยังต้องอาศัย ความร่วมมือกับคนในพื้นที่ เป็นกุญแจสำคัญ

ข้อคิดที่ได้จากกรณีนี้ก็คือ ไม่ว่าองค์กรจะใหญ่แค่ไหน ถ้าอยากเข้าถึงลูกค้าได้ลึก ต้องรู้จักจับมือกับคนที่เข้าใจตลาดจริงๆ และนั่นคือเหตุผลที่ Sub-Area License กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ 7-Eleven ในประเทศไทย

แหล่งข้อมูล

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช