Scent Marketing สร้างธุรกิจเงินล้านในยุคคนไม่อยากซื้อ
การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและจดจำได้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดลูกค้า กลยุทธ์นี้เรียกว่า Scent Marketing หลักการคือจะใช้พลังของกลิ่นในการกระตุ้นอารมณ์ สร้างความทรงจำ และเพิ่มยอดขาย เพราะว่ากลิ่นไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้ารู้สึกดี แต่ยังสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าวิเคราะห์โดยอ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์พบว่า “กลิ่น” มีความพิเศษเพราะเชื่อมโยงกับ ระบบลิมบิก (Limbic System) ในสมอง ซึ่งควบคุมอารมณ์และความทรงจำ โดยมนุษย์มีประสิทธิภาพในการจดจำกลิ่นได้ถึง 35% แม่นยำกว่าความทรงจำจากภาพหรือเสียงที่มีเพียงแค่ 5% และ 2% ตามลำดับ
Scent Marketing ดีอย่างไร? ทำไมควรเลือกใช้

กลิ่นมีความสามารถที่จะกระตุ้นความรู้สึกผ่อนคลาย ความหิว หรือแม้แต่ความรู้สึกหรูหรา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อและความภักดีต่อแบรนด์ มีตัวเลขน่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับ Scent Marketing หลายปัจจัยเช่น
- 84% บริเวณที่มีกลิ่นหอมสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น
- 70% ของลูกค้ามีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำหากร้านมีกลิ่นที่ชวนให้รู้สึกดี
- 15-20% คือการที่ลูกค้าจะใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าได้มากขึ้น
- 20% กระตุ้นการซื้อได้โดยไม่รู้ตัว เพราะกลิ่นทำให้ลูกค้าหิวและอยากซื้อทันที
- 40% เป็นความรู้สึกเชิงบวกที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกดีต่อร้านค้าได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีการเลือกใช้ “กลิ่น” ก็เป็นศาสตร์ที่สำคัญ อย่างแรกคือต้อง เลือกกลิ่นที่สอดคล้องกับแบรนด์ สะท้อนตัวตนของแบรนด์ เช่น ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นวัยรุ่นอาจใช้กลิ่นผลไม้สดชื่น ในขณะที่ร้านเครื่องประดับหรูอาจเลือกกลิ่นมัสก์หรือไม้จันทน์
นอกจากนี้การเลือกใช้กลิ่นให้ถูกกับโซนในร้านก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ กลิ่นควรถูกใช้ในพื้นที่ที่ลูกค้าใช้เวลานาน เช่น โซนลองสินค้า หรือบริเวณแคชเชียร์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อ ยกตัวอย่างเช่น ร้าน Nike ในสหรัฐฯ ใช้กลิ่นที่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงในโซนรองเท้ากีฬา ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีพลังและอยากลองสินค้า
หรือเทคนิคการใช้กลิ่นที่น่าสนใจอีกรูปแบบคือการ ปรับกลิ่นตามฤดูกาลหรือโอกาสพิเศษ เช่น กลิ่นเครื่องเทศในช่วงคริสต์มาส หรือกลิ่นดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อสร้างความตื่นเต้น หรืออาจเลือกใช้อุปกรณ์กระจายกลิ่น เช่น เครื่อง Diffuser หรือ HVAC Scent System ช่วยควบคุมกลิ่นให้สม่ำเสมอและครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Scent Marketing เพิ่มยอดขายได้มากแค่ไหน?

ถ้าแค่พูดว่าเทคนิคนี้ดี คนส่วนใหญ่ก็จะถามอีกว่าดียังไง ให้ชัดเจนที่สุดก็คงต้องยกตัวเลขขึ้นมาอธิบาย ซึ่งเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์นี้ในการเพิ่มยอดขายอย่างได้ผล
- ธุรกิจร้านเสื้อผ้า ที่ใช้กลิ่นหอม เช่น กลิ่นวานิลลาหรือดอกไม้ สามารถเพิ่มยอดขายได้ 15-20% เมื่อเทียบกับร้านที่ไม่มีกลิ่นใดๆเลย
- ร้านเครื่องดื่ม มีกรณีศึกษาในเกาหลีใต้ของ Dunkin’ Donuts ที่ใช้เทคนิคการปล่อยกลิ่นกาแฟในรถบัสพร้อมโฆษณา พบว่ายอดขายเครื่องดื่มในร้านสาขาที่อยู่ใกล้ป้ายรถเมล์เพิ่มขึ้น 29% เทียบกับช่วงที่ไม่ใช้เทคนิคนี้
- ซูเปอร์มาร์เก็ต / ร้านค้าปลีก มีรายงานน่าสนใจระบุว่า การใช้กลิ่นในโซนเบเกอรี่ เช่น กลิ่นขนมปังหรือคุกกี้ สามารถเพิ่มยอดขายในโซนนั้นได้ 25-30% เมื่อเทียบกับโซนที่ไม่มีกลิ่น
- โรงแรมและธุรกิจบริการ มีข้อมูลรายงานว่าโรงแรมที่ใช้กลิ่นลาเวนเดอร์หรือไม้กลิ่นหอมในล็อบบี้ ลูกค้ามีแนวโน้มใช้บริกา สปาหรือร้านอาหารในโรงแรม สูงขึ้น 10-15%
- ร้านอาหารที่ใช้กลิ่นเป็นตัวดึงดูด เช่น กลิ่นขนมอบ สามารถเพิ่มยอดขายได้ 20-30% ยกตัวอย่างเช่นร้าน Cinnabon ใช้กลิ่นซินนามอนโรลอบใหม่ที่กระจายออกมานอกร้าน ทำให้ยอดขายซินนามอนโรลเพิ่มขึ้น 25% ในสาขาที่ใช้กลิ่นเมื่อเทียบกับสาขาที่ไม่ใช้
พลังของ Scent Marketing ยังมีมากกว่าที่ศาสตร์นี้เป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่น่าดึงดูด เช่น กลิ่นสมุนไพรในร้านอาหารไทย หรือกลิ่นวานิลลาในร้านอาหารฝรั่งเศส ทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลิน มีตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น ร้านอาหารอิตาเลียนในสหรัฐฯ ที่ใช้กลิ่นโหระพาและมะเขือเทศในโซนต้อนรับ
พบว่าลูกค้าใช้เวลาในร้านนานขึ้น 15% และสั่งอาหารเพิ่มมากขึ้นด้วย หรือ ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยที่ใช้กลิ่นยูซุ (ส้มญี่ปุ่น) ในโซนต้อนรับ พบว่าลูกค้ามีแนวโน้มสั่งอาหารชุดใหญ่ขึ้น 12% เนื่องจากรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
Scent Marketing ใช้แบบไหนถึงจะเหมาะสม?

แม้จะมีข้อดีมากมายแต่การใช้ผิดวิธีหรือไม่ถูกต้อง แทนที่จะได้ประโยชน์อาจกลายเป็นดาบสองคมแทนได้ สิ่งที่ต้องพึงระวังให้ดีคือ
- อย่าใช้กลิ่นที่แรงเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่สบายหรือรำคาญ
- คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลิ่นหวานอาจเหมาะกับวัยรุ่น แต่ไม่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าสูงวัย
- ปฏิบัติตามกฎหมาย ในบางประเทศมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้สารเคมีในกลิ่นสังเคราะห์
- หลีกเลี่ยงการใช้กลิ่นที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น กลิ่นที่มีส่วนผสมของถั่วหรือสารก่อภูมิแพ้
และการเลือกใช้กลิ่นให้ถูกกับพื้นที่ภายในร้านค้าก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ยกตัวอย่างถ้าเป็นร้านอาหาร บริเวณทางเช้าร้านควรมีกลิ่นหอมจากอาหาร เช่นกลิ่นย่าง หรือกลิ่นเครื่องเทศ เพื่อดึงดูดลูกค้า
แต่เมื่อเข้ามาในร้านแล้วบริเวณโซนรับประทานอาหารควรเป็นกลิ่นที่สร้างความรู้สึกผ่อนคลายเช่น กลิ่นดอกไม้หอม หรือในโซนแคชเชียร์อาจใช้กลิ่นของหวานเพื่อกระตุ้นการสั่งเมนูเพิ่ม เป็นต้น
ดังนั้นการใช้ Scent Marketing ในธุรกิจต่างๆ อาจช่วยเพิ่มยอดขายได้ 10-30% ขึ้นอยู่กับการเลือกกลิ่นและการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม
ใครที่สนใจอยากใช้เทคนี้ควรเริ่มจากการสำรวจหากลิ่นที่เหมาะสมกับแบรนด์ และทดลองในพื้นที่เล็กๆ ก่อนขยายผล เพราะกลิ่นเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกค้าและยอดขายของได้มากกว่าที่คิด
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




