Pack Size ที่ถูกใจ! เพิ่มยอดขายธุรกิจได้ถึง 20%
ตลาดค้าปลีกยังแข่งขันดุเดือดถ้าสังเกตให้ดีว่าทุกวันนี้สินค้าในร้านมีหลายขนาด อย่างขนมขบเคี้ยวก็มีตั้งแต่ถุงเล็ก ถุงใหญ่ และถุงใหญ่พิเศษ หรือน้ำอัดลมก็มีตั้งแต่ขวดเล็ก ขวดกลาง ขวดใหญ่ มองผิวเผินก็เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าชอบแบบไหนก็ซื้อแบบนั้น
แต่ความจริงมีเรื่องของจิตวิทยาการขายเข้ามาแทรกโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายให้เพิ่มขึ้น ซึ่งการได้ศึกษาแนวทางนี้จะเป็นผลดีให้ธุรกิจนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แพ็กเกจจิ้งสำคัญแค่ไหนกับ “ยอดขาย”

การสร้าง “จุดต่าง” ในยุคแข่งขันสูงเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ ความต่างที่ว่านี้ไม่ใช่แค่ราคาหรือว่าโปรโมชัน แต่คือสิ่งที่สะดุดตาได้ทันทีโดยเฉพาะ Pack Size” หรือขนาดบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ ผลจากงานวิจัยด้านการตลาดระบุว่าช่วยเพิ่มยอดขายได้ถึง 20%
บรรจุภัณฑ์จึงไม่ใช่แค่กล่องหรือถุงสำหรับห่อของแต่เป็น “silent salesman” ที่สื่อสารแบรนด์และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างดี
- 72% ของผู้บริโภคยอมรับว่าการออกแบบแพ็คเกจจิ้งมีอิทธิพลต่อการซื้อ
- 80% ของผู้บริโภคชอบแพ็กเกจจิ้งแบบ large packs เพราะรู้สึกคุ้มค่ากว่า
- 40% ของ Pack Size ที่เหมาะสมทำให้สินค้าดูเด่นเมื่ออยู่บนชั้นวางสินค้า
- 20% ของลูกค้าในช่วงเงินเฟ้อสนใจ Pack Size ที่ดูคุ้มค่ากับราคา
กลยุทธ์ Pack Size ดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น เป็นเรื่องด้านการตลาดที่ทุกคนก็เข้าใจดีเพียงแต่ว่าใครจะหยิบเอาเรื่องนี้มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีผลไปถึงยอดขายโดยรวมด้วย
วิธีการใช้ Pack Size ของสินค้าในร้านสะดวกซื้อ

เพื่อให้เห็นภาพของเรื่องนี้ชัดเจนในร้านสะดวกซื้อคือตัวอย่างที่เข้าใจง่ายมากที่สุด แพ็กเกจจิ้งที่เหมาะสมมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดลูกค้า ทำให้สินค้าง่ายต่อการหยิบใช้ และเพิ่มยอดขายเช่น ขนาดเล็ก พกพาได้ หรือเปิดง่ายมีสินค้าหลายอย่างที่ยกเป็นตัวอย่างได้เช่น
1.น้ำดื่มหรือเครื่องดื่มบรรจุขวดขนาดเล็ก
การออกแบบนี้ตอบโจทย์ convenience store ที่ลูกค้าซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก (impulse) ส่งผลให้ยอดขายเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 15-20% จากการที่ลูกค้ารู้สึก “คุ้มค่าและพกพาสะดวก” ในต่างประเทศก็มีกรณีที่คล้ายกัน เช่น Coca-Cola ออกแบบให้ขวดโค้งมนจับถนัดมือ ช่วยให้โดดเด่นบนชั้นวาง
2.ขนมขบเคี้ยวแบบซิ้งเกิลแพ็ก

การออกแบบให้มีขนาดพกพาพร้อม zipper resealable เพื่อปิดซ้ำได้ ป้องกันอากาศเข้าและรักษาความสดใหม่ เหมาะกับลูกค้าที่อยากลองรสใหม่โดยไม่ต้องซื้อแพ็คใหญ่ ลดปัญหา “ซื้อเยอะแต่กินไม่หมด และยังมีผลดีในการลดต้นทุนขนส่งและเพิ่ม shelf life ทำให้ยอดขาย snacks เพิ่ม 10-15%
3.อาหารพร้อมทาน (Ready-to-Eat Meals)
เราจะเห็นการออกแบบที่ชัดเจนคือกล่องพลาสติกบางเบา รองรับ microwave ได้พร้อมฝาใสเห็นข้างในและ ฝากล่องเปิดง่ายไม่เลอะมือ ที่สำคัญคือเป็น Pack Size เล็กพอดีมื้อเดียวกินหมด ลด food waste และเพิ่มความรู้สึกคุ้มค่า (perceived value)
ร้านอาหารก็ใช้ Pack Size เพิ่มยอดขายได้

ไม่ใช่แค่ร้านค้าปลีกเท่านั้นเรื่อง Pack Size นำไปใช้กับสินค้าได้อีกหลายชนิดแม้แต่ร้านอาหารเรื่อง Pack Size ก็สำคัญมีผลต่อการเพิ่มยอดขายได้เช่นกัน
ยกตัวอย่าง McDonald’s Happy Meal ที่มาด้วยแพ็กเกจจิ้งกล่องสีสันสดใสเพิ่มยอดขายได้ 30% โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กๆ ซื้อมาเพื่อสะสมเป็นผลดีในการสร้าง loyalty ได้มากขึ้นด้วย หรือการที่ Starbucks ออกแบบแพ็กเกจจิ้งถ้วยเครื่องดื่มป้องกันการหกเลอะเทอะ ปรากฏว่าเพิ่มยอดขายได้กว่า 15%
เหตุผลคือลูกค้าบอกพกพาสะดวกและยังมีการแชร์บนโซเชี่ยลที่ทำให้ลูกค้ามีโอกาสรู้จักแบรนด์ได้มากขึ้น แม้แต่ MK Restaurant เองก็ให้ความสำคัญกับแพ็กเกจจิ้งเช่นกัน ตัวอย่างคือการใช้กล่องโฟม insulated สำหรับสุกี้เดลิเวอรี่ รักษาน้ำซุปร้อนได้ 45 นาที ผลคือยอด delivery โต 20% ในปี 2024 ที่ผ่านมา
เรื่องของ Pack Size ไม่ใช่แค่เรื่องทั่วไป แต่เป็นรายละเอียดเล็กๆที่มีผลต่อยอดขายได้แท้จริง มีบทพิสูจน์ที่เห็นชัดจากหลายแบรนด์ว่าเพิ่มยอดขายได้จริง 15-20% แถมยังลดต้นทุนได้อีกประมาณ 10%
สิ่งที่จะได้มากกว่านั้นอีกคือการที่สินค้าจะกลายเป็น talk of the town โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเพิ่ม เรียกว่ามีแต่ได้กับได้ ยิ่งในยุคที่ลูกค้าสรรหาความคุ้มค่าและแปลกใหม่อะไรที่เด่นกว่าดีกว่าคุ้มค่ากว่าย่อมจะเป็นที่สนใจมากกว่าด้วย
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




