“Markdown” วิธีใช้ “ป้ายเหลือง” เพิ่มรายได้ร้านสะดวกซื้อ

ทุกวันนี้คนไทยใช้บริการร้านสะดวกซื้อกันเยอะ เรียกว่าแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าดูจากสัดส่วนรายได้ร้าน 7-Eleven ที่มีสาขากว่า 15,430 แห่ง แต่ละสาขามียอดขายเฉลี่ยต่อวัน 86,656 บาท ยอดซื้อต่อบิล 85 บาท มีจำนวนลูกค้าเฉลี่ยต่อวัน 1,007 คน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ามีร้านสะดวกซื้ออีกหลายแบรนด์ที่ตอนนี้ก็ขับเคี่ยวกันดุเดือดอย่าง CJ Expres ที่มีสาขากว่า 1,500 แห่ง หรือ Lotus´s ที่มีสาขารวมกว่า 1,595 แห่ง

ถามว่าอะไรคือกลยุทธ์ที่จะดึงดูดให้ลูกค้าอยากเข้ามาใช้บริการ ก็นำมาสู่หลากหลายโปรโมชันที่จัดหนักจัดเต็ม แต่ที่เด่นชัดสุดคือ “Markdown” หรือการใช้ “ป้ายเหลือง” ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นกลยุทธ์ประจำของทุกๆ ร้านสะดวกซื้อ

นิยามคำว่า “ป้ายเหลือง” ก็คือ “สินค้าลดราคา” อาจจะเป็นการโละของออกจากสต๊อก เพื่อไม่ให้เสียของ แต่นำมาจัดโปรแปะป้ายเหลืองให้ลูกค้า หรือจะเป็นโปรโมชันที่ร้านค้าจัดไว้ 7 วัน เป็นต้น

โดยสินค้าส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ประเภทอาหารสด อาหารพร้อมทาน และสินค้าที่ใกล้หมดอายุ เช่น เบเกอรี่ สลัดกล่อง หรือของสดในแผนกเนื้อสัตว์และผักผลไม้โดยเวลาที่นำออกมาแปะสติกเกอร์ป้ายเหลืองเพื่อลดราคานั้นมักจะมาในช่วงเย็นที่คาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่คนเข้ามาใช้บริการได้มากที่สุด และถ้าไปดูข้อมูลวิจัยจะพบว่า “สินค้าลดราคา” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมาก

  • 66% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในแผนเดิมเพราะเห็นป้ายลดราคา
  • 27 % คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ป้ายเหลืองลดราคา
  • 18% คือความพอใจของผู้บริโภคที่คิดว่าการลดราคาช่วยประหยัดค่าครองชีพเพิ่มขึ้น

จากข้อมูลยังระบุต่ออีกว่าร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง จะมียอดขายเฉลี่ยสูงกว่าร้านค้าทั่วไป 18% และการจัดโปรโมชันหรือมีการกระตุ้นยอดขายด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการขายที่มากขึ้นและยังเป็นการบริหารจัดการสต็อคสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

หากพิจารณาถึงเหตุผลที่ “ป้ายเหลือง” มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า ก็มีหลายปัจจัยเกี่ยวข้องเช่น

1.จิตวิทยาการลดราคา

ป้ายเหลืองดึงดูดสายตาของผู้บริโภคทันทีเมื่อเดินผ่าน ด้วยสีที่สะดุดตาและตัวเลขราคาที่ลดลงอย่างชัดเจน ผู้บริโภคส่วนใหญ่รู้สึกว่าได้ “ความคุ้มค่า” และเกิดความต้องการซื้อทันที แม้บางครั้งจะไม่ได้วางแผนซื้อสินค้านั้นมาก่อน

2.การสร้างความเร่งด่วน (Urgency)

Markdown

คำว่า “ลดจำนวนจำกัด” หรือ “เฉพาะวันนี้เท่านั้น” บนป้ายเหลือง ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องรีบคว้าโอกาส ก่อนที่จะพลาดดีลราคาพิเศษ

3.การสร้างความภักดีต่อแบรนด์

Markdown

ป้ายเหลืองทำให้ผู้บริโภคมองว่าร้านค้าดูแลและเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจที่คนระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย

ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ 7-Eleven เท่านั้นแต่อีกหลายแบรนด์ร้านสะดวกซื้อก็งัดเอากลยุทธ์นี้มาใช้เช่นกัน อย่าง CJ ที่จัดโปรลดราคากระหน่ำจุกๆ มีทั้งสินค้าลดราคาสูงสุด 75% โปร 1 แถม 1 เป็นสินค้าป้ายเหลืองที่ทำเอาพ่อบ้านแม่บ้านต่างออกไปจับจ่ายสินค้า ซื้อตุนกันไว้เป็นจำนวนมาก

หรืออย่าง “ท็อปส์” ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ที่เคยออกแคมเปญ “Food Hero, Taste not Waste” กระตุ้นคนไทยช้อปสินค้าใกล้หมดอายุ ที่ติดสติกเกอร์ลดราคาป้ายเหลือง ที่ยังคงคุณภาพดี ในราคาลดพิเศษ30-50%

Markdown

อย่างไรก็ดีกลยุทธ์ป้ายเหลืองไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของส่วนลด แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค สร้างความรู้สึกคุ้มค่า เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่ร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและตอบโจทย์ในยุคที่การแข่งขันด้านราคามีความเข้มข้นมากขึ้น

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด