KAPPA SUSHI ต้นตำรับซูชิสายพานญี่ปุ่นแท้ กว่า 300 สาขาทั่วประเทศ
หากพูดถึงซูชิสายพานในญี่ปุ่น หนึ่งในชื่อที่หลายคนคุ้นเคยคงหนีไม่พ้น Kappa Sushi แบรนด์ซูชิสายพานที่มีต้นกำเนิดจากเมืองเล็กๆ อย่างนากาโนะ และเติบโตจนมีมากกว่า 300 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงสาขาในเขตโตเกียว คันโต และเมืองใหญ่อื่นๆ
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ Kappa Sushi ผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งความท้าทาย โอกาส และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่หล่อหลอมให้แบรนด์นี้ให้ยืนหยัดอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารญี่ปุ่นมานานมากกว่า 50 ปี
จุดเริ่มต้น Kappa Sushi

เรื่องราวของ Kappa Sushi เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี 1973 เมื่อ จุนวะ โทคุยามะ (Junwa Tokuyama) เริ่มทำธุรกิจในจังหวัดนากาโนะ โดยเริ่มจากการผลิตซูชิขายให้ซูเปอร์มาร์เก็ต และควบคู่ไปกับการบริหารร้านแฟรนไชส์ Mister Donut
ในขณะนั้น เมืองนากาโนะกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านประชากรและโครงสร้างพื้นฐาน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาค มีการพัฒนาเครือข่ายถนน รถไฟ และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เข้ามา เช่น Ito-Yokado และ Daiei ทำให้ความต้องการอาหารสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสทองของธุรกิจซูชิในยุคนั้น
เปิดร้าน Kappa Sushi สาขาแรก

ในเดือนสิงหาคม ปี 1979 โทคุยามะได้นำทุนและประสบการณ์ที่สั่งสมมา เปิดร้าน Kappa Sushi สาขาแรกที่ย่านนิชิวาดะ เมืองนากาโนะ โดยมีจุดเด่นคือการนำเสนอซูชิรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สลัดกันคัน” (Salad Gunkan) ซูชิหน้าสลัดที่ประยุกต์ให้เข้ากับรสนิยมของท้องถิ่น และกลายเป็นเมนูยอดนิยมในทันที
Kappa Sushi ยังเน้นการขายแบบซื้อกลับบ้าน ซึ่งเหมาะกับพื้นที่ที่ไม่มีทะเล แต่มีระบบขนส่งที่ดี ช่วยให้สามารถจัดหาวัตถุดิบสดใหม่ได้ไม่ยาก
เติบโตด้วยเทคโนโลยี

ภายในปี 1983 ร้านขยายไปถึง 8 สาขาภายในจังหวัด และในปี 1984 โทคุยามะเริ่มรุกตลาดเขตคันโต โดยเริ่มจากจังหวัดไซตามะ พร้อมตั้งโรงงานผลิตและแช่แข็งซูชิ เพื่อลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพ
หนึ่งในกุญแจความสำเร็จช่วงแรกๆ คือการใช้เทคโนโลยี แช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลว ซึ่งช่วยถนอมวัตถุดิบราคาแพงอย่าง โทโระ (Toro) หรือส่วนมันของปลาทูน่า ได้ในราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้ Kappa Sushi สามารถนำเสนอซูชิคุณภาพในราคาย่อมเยา
ความสำเร็จและความท้าทายในการแข่งขัน

Kappa Sushi เติบโตต่อเนื่องตลอดยุค 80 จนสามารถเปิดครบ 100 สาขาในปี 1993 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้สำเร็จ
แต่เมื่อเข้าสู่ยุค 2000 Kappa Sushi เริ่มเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ใหม่ๆ เช่น Sushiro และ Kurazushi ที่ลงทุนใน เทคโนโลยีอัตโนมัติ และระบบสายพานอัจฉริยะอย่างจริงจัง ขณะที่ Kappa Sushi ยังเน้นการขยายสาขาและควบคุมต้นทุนด้วยการต่อรองราคาวัตถุดิบ
กลยุทธ์นี้เริ่มส่งผลเสียในระยะยาว ทำให้ยอดขายตกลง และ Kappa Sushi เริ่มตามหลังคู่แข่งในแง่ของนวัตกรรมและประสิทธิภาพ
การเข้าซื้อกิจการโดย Colowide

ในเดือนตุลาคม ปี 2014 Kappa Sushi ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่ม Colowide ซึ่งเป็นเจ้าของเครือร้านอาหารรายใหญ่ในญี่ปุ่น การเปลี่ยนมือครั้งนี้นำมาซึ่ง การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ เช่น การย้ายการผลิตซูชิกลับมาทำที่หน้าร้าน เพื่อเน้นความสดใหม่ และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผลลัพธ์คือภายในปี 2018 บริษัทเริ่มฟื้นตัว ยอดขายและกำไรกลับมาอย่างมั่นคง
ฝ่าวิกฤตโควิด-19 และมุ่งสู่นวัตกรรมใหม่

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 Kappa Sushi ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการเน้น บริการซื้อกลับบ้าน (takeout) และพัฒนาเมนูที่เหมาะสำหรับการรับประทานที่บ้าน กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยพยุงรายได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
หลังวิกฤต Kappa Sushi เดินหน้าพัฒนาระบบด้วยการนำ เทคโนโลยีไร้สัมผัส เข้ามา เช่น จุดชำระเงินอัตโนมัติ (Self-checkout), ตู้ล็อกเกอร์รับสินค้า (Delivery lockers) และ การสั่งผ่านออนไลน์

นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับบริษัทด้านประมงอย่าง Bannou Suisan เพื่อจัดหาวัตถุดิบคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้
ภายในปี 2023 บริษัทกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง พร้อมดึงเมนูยอดฮิตอย่าง “สลัดกันคัน” กลับมา และร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ ในการสร้างเมนูพิเศษเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มวัย
จากอดีตสู่อนาคต

จากร้านเล็กๆ ในเมืองนากาโนะ Kappa Sushi เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในแบรนด์ซูชิสายพานที่แข็งแกร่งที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยจุดยืนที่เน้นความเข้าใจตลาด ความคิดสร้างสรรค์ และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงในแต่ละสถานการณ์
ตลอดเวลากว่า 50 ปี Kappa Sushi พิสูจน์ให้เห็นว่า ความสำเร็จในธุรกิจอาหาร ไม่ได้เกิดจากสูตรลับอย่างเดียว แต่เกิดจาก การฟังลูกค้า และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงในเวลาที่เหมาะสม
อนาคตของ Kappa Sushi ยังคงน่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นในญี่ปุ่นหรือบนเวทีระดับนานาชาติ
อ้างอิงข้อมูล
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)