“Introvert marketing” วิธีเพิ่มยอดขายธุรกิจ “คนโลกส่วนตัวสูง”

คำว่า “Introvert” เพิ่งจะถูกนำมาใช้แพร่หลายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ความจริงลักษณะของคน Introvert มีมานานมาก โดยมีลักษณะสำคัญคือ

  • มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง มีความสุขกับการอยู่คนเดียว
  • มักใช้ความคิดก่อนพูด และเป็นคนที่พูดน้อย
  • ไม่ชอบคุยเรื่องไร้สาระ
  • หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม
  • ไม่ชอบแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่
  • ถ้ามั่นใจในเรื่องใดแล้วจะมีความมั่นใจและเชื่อมั่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

Introvert marketing

คาดการณ์ว่าปัจจุบันมีผู้ที่เข้าข่าย Introvert อยู่ประมาณ 25-40% ของประชากรทั้งโลก ถ้าเป็นในส่วนของประเทศไทยแม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนแต่ก็คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 20-30% ของประชากร

ถ้าอ้างอิงตามช่วงอายุจากงานวิจัยผู้ชายในวัย 25-39 ปี เป็น Introvert ประมาณ 35% ซึ่งมากกว่ากลุ่มของผู้หญิงที่อยู่ในวัยเดียวกัน หรือ Tinder เคยให้ข้อมูลว่า

คนส่วนใหญ่ในแอป ระบุว่าตัวเองเป็น “Introvert” มาก ถึง 33% รวมถึงใน TikTok มีคนใช้แฮชแท็กคำว่า “Introvert” มากกว่า 19 ล้านครั้ง

ถ้าดูจากตัวเลขนี้จะเห็นว่า Introvert เป็นตลาดที่ใหญ่พอตัวแต่การจะเจาะกลุ่มลูกค้าได้จำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐาน ความต้องการและตัวตนของ Introvert อย่างชัดเจน ถ้าใครทำได้ก็เท่ากับว่ามีโอกาสเพิ่มยอดขายธุรกิจได้มาก

เพราะคุณสมบัติหนึ่งของกลุ่ม Introvert คือถ้าชอบหรือสนใจในเรื่องไหนหากมั่นใจก็จะเชื่อมั่นและเปลี่ยนแปลงได้ยาก หมายถึงว่าหากเป็นสินค้าที่คนกลุ่มนี้เลือกใช้ก็จะกลายเป็นลูกค้าประจำได้ยาวๆ

Introvert marketing

หัวใจสำคัญของการตลาด Introvert marketing ต้องเข้าใจก่อนว่า Introvert ชอบใช้เวลาอยู่กับตัวเอง มากกว่าการทำกิจกรรม หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้เกลียดการเข้าสังคม

เพียงแต่จะรู้สึกว่าตัวเองต้องใช้พลังงานเยอะในการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น หรือหากเทียบให้เห็นภาพในเชิงธุรกิจ คนที่เป็น Introvert เวลาไปซื้อของในร้าน จะชอบเดินดูสินค้าคนเดียวเงียบ ๆ มากกว่าที่จะให้มีคนมาคอยเดินตามเพื่อแนะนำสินค้า เป็นต้น

วิธีที่ดีที่สุดคือใช้การตลาดแบบ Low Interaction Marketing เน้นการทำให้กลุ่มเป้าหมาย มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับแบรนด์ได้ในช่องทางต่าง ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป เช่น

  • คอยส่งอีเมลแจ้งข่าวสารและโปรโมชันใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าเป็นระยะ ๆ
  • อัปเดตเรื่องราวต่าง ๆ บนสื่อโซเชียลของแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องรอให้ลูกค้าถาม
  • เขียนบล็อกหรือบทความต่าง ๆ ให้คนกลุ่มนี้ สามารถศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มระบบอัตโนมัติต่าง ๆ เพื่อลดขั้นตอนที่ลูกค้าต้องคุยกับมนุษย์ให้ได้มากที่สุด
  • เพิ่มตัวเลือก Self-Service โดยบอกขั้นตอนอย่างละเอียด อย่าให้ลูกค้าต้องถามซ้ำ

Introvert marketing

ตัวอย่างแบรนด์ที่ทำการตลาดเหมาะกับ Introvert ในช่วงที่ผ่านมาก็มีหลายแบรนด์ที่พออธิบายให้เห็นภาพได้เช่น

  • ร้านราเม็ง A Ramen (ร้านราเม็งข้อสอบ) ที่ออกแบบร้านให้สามารถนั่งทานคนเดียวได้
  • แอป QueQ ที่ลูกค้าจองคิวร้านอาหารที่คนเยอะได้ โดยไม่ต้องไปยืนรอต่อคิวหน้าร้าน
  • ร้านบุฟเฟต์บางแห่งที่จัดโซนสำหรับนั่งทานคนเดียว (แบบเคาน์เตอร์บาร์)
  • IKEA ให้ลูกค้าทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ โดยมีเว็บไซต์บอกข้อมูลของเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านทุกชิ้นอย่างละเอียด พร้อมให้ลูกค้าสั่งซื้อและนำไปประกอบด้วยตัวเองที่บ้านได้

ในตลาดที่การแข่งขันสูง Introvert เป็นแค่ส่วนหนึ่งยังมีกลุ่มที่เป็น Extrovert และ Extrovert รวมอยู่ด้วย ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน สำหรับคนทำธุรกิจแล้วควรเริ่มโฟกัสจากกลุ่มลูกค้าของตัวเองเป็นหลักว่าคือใคร

จากนั้นค่อยมาแยกย่อยดูว่ามีความเป็น Introvert – Extrovert – Extrovert มากแค่ไหน จึงค่อยมากำหนดกลยุทธ์ด้านการตลาดให้มีความเหมาะสม และต้องไม่ลืมเรื่องคุณภาพสินค้าและบริการที่ดีร่วมด้วย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด