HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก

ถ้าพูดถึงอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะ “ซูชิ” หรือที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่า “ข้าวปั้นญี่ปุ่น” ต้องยอมรับว่าเป็นอาหารได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ด้วยรสชาติที่เข้ากันได้ดีกับลิ้นคนไทย และความหลากหลายที่สามารถเลือกบริโภคได้ตั้งแต่ระดับราคาย่อมเยา ไปจนถึงระดับพรีเมียมที่คัดสรรวัตถุดิบสดใหม่จากญี่ปุ่นและทั่วโลก

ท่ามกลางกระแสความนิยมนี้ จึงทำให้ร้านอาหารญี่ปุ่นจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นมากมาย แต่หนึ่งในร้านที่สามารถสร้างความแตกต่าง และเป็นที่จดจำได้ในวงกว้างภายในระยะเวลาอันสั้น คือ Sushi HANA หรือ HANA

ซูชิ…เมนูจานโปรดของคนไทย

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก https://sushihanathailand.com

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้รวบรวมข้อมูลจากโซเชียลมีเดียผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ DXT360 โดยวิเคราะห์จากโพสต์รีวิว แชร์ภาพอาหาร และความคิดเห็นต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ เพื่อหาคำตอบว่า “เมนูอาหารญี่ปุ่นจานโปรดของคนไทย” คืออะไร โดยใช้ยอดเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) เป็นตัวชี้วัดความนิยมของแต่ละเมนู

ผลการวิเคราะห์พบว่า เมนูอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกโซเชียลของไทย คือ

  1. ซูชิ (Sushi) ได้รับ Engagement สูงถึง 50.2%
  2. อาหารชุดสไตล์ญี่ปุ่น (เทโชกุ / Teishoku) ได้รับ Engagement 23.7%
  3. ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น (Yakiniku) ได้รับ Engagement 10.4%
  4. ชาบู (Shabu) ได้รับ Engagement 10.4%
  5. ราเมน (Ramen) ได้รับ Engagement 3.3%
  6. อาหารจานเดี่ยวอื่นๆ เช่น ข้าวหน้าแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, ทงคัตสึ และเทมปุระ ได้รับ Engagement รวม 2%

ส่วนมูลค่าตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท

จุดเริ่มต้น HANA ความเชี่ยวชาญเปลี่ยนเป็นธุรกิจ

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก www.facebook.com/SushiHanaThailand

HANA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2558 โดย “เชฟสุริยัน ปะวะเสนะ” ผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านศาสตร์การทำอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะสไตล์ ไคเซกิ (Kaiseki) ซึ่งเป็นศิลปะการจัดเสิร์ฟอาหารแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ให้ความสำคัญกับความละเมียดละไม ความสมดุลของรสชาติ และความสวยงามของอาหารในแต่ละจาน

HANA เริ่มต้นจากร้านเล็กๆ ที่มีลูกค้าขาประจำเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ภายในเวลาไม่นาน ได้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านการบอกปากต่อปากของลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่หลงใหลในรสชาติของซูชิสดใหม่ และการบริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด

เติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดปัญหาตามมา

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก www.facebook.com/SushiHanaThailand

ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม ร้านอาหารญี่ปุ่น HANA จึงเร่งขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จนมีมากถึง 21 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลภายในไม่กี่ปี อย่างไรก็ตามการเติบโตอย่างรวดเร็วได้นำมาซึ่งปัญหาหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและการดำเนินงานของธุรกิจโดยรวม ไม่ว่าจะเป็น

1. ระบบหลังบ้านและการควบคุมคุณภาพ

การออกเมนูโปรโมชั่นใหม่ทุกเดือน ทำให้ต้องมีการฝึกอบรมเชฟในแต่ละสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษามาตรฐานของรสชาติและการจัดจาน รวมถึงปัญหาสูตรอาหารที่ไม่สอดคล้องกัน ส่งผลให้ประสบการณ์ของลูกค้าแตกต่างกันไปในแต่ละสาขา

2. การจัดการหน้าร้าน

HANA เจอปัญหารหัสเมนูที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้พนักงานและแคชเชียร์สับสน ส่งผลต่อความรวดเร็วและความแม่นยำในการบริการลูกค้าในร้าน

3. ปัญหาด้านการตลาด

ทีมการตลาดของ HANA ต้องเร่งผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ทุกเดือน ส่งผลให้คุณภาพและประสิทธิภาพลดลง

4. พฤติกรรมผู้บริโภค

ลูกค้าจำนวนมากมักจะรอใช้บริการเฉพาะช่วงที่ทางร้านจัดโปรโมชั่น ทำให้ยอดขายในช่วงปกติตกต่ำลง

5. ต้นทุนและผลกำไร

การมีหลายสาขาทำให้ HANA ควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ยาก หลายสาขาโดยเฉพาะในศูนย์การค้า แม้จะมียอดขายสูงแต่กลับไม่สามารถทำกำไรได้ เนื่องจากค่าเช่าพื้นที่ที่สูงมาก จากปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ HANA มีผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี

HANA ปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ครั้งใหญ่

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก www.facebook.com/SushiHanaThailand

ในปี พ.ศ. 2561 HANA ได้รับการเข้าร่วมทุนจากนักลงทุนรายใหม่ พร้อมกับมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่ การควบคุมคุณภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพภายใน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ ได้แก่

1. HANA ได้ลดจำนวนสาขาจาก 21 สาขา เหลือเพียง 7 สาขาในช่วงเวลานั้น เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารและควบคุมคุณภาพ ปัจจุบัน HANA มีทั้งหมด 6 สาขา

  • สาขาบางนา
  • วัชรพล
  • Porto Chino (พอร์โต ชิโน่)
  • พระราม 3
  • Design Village
  • บางนา กม.8

2. ปรับปรุงเมนู คัดเฉพาะเมนูยอดนิยมไว้ และตัดเมนูที่ไม่เป็นที่นิยมออก พร้อมพัฒนาเล่มเมนูให้ภาพดูน่ารับประทาน และเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

3. ปรับรอบโปรโมชั่น จากเดิมออกทุกเดือน เปลี่ยนเป็นทุก 2 เดือน เพื่อลดภาระทีมงาน และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างมีระบบ

4. ควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ การลดจำนวนสาขาช่วยให้วางแผนจัดซื้อวัตถุดิบได้แม่นยำขึ้น ลดของเสีย และลดต้นทุนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลของการปรับกลยุทธ์ของ HANA ส่งผลให้

  • ยอดขายรวมกลับมาใกล้เคียงเดิม
  • ต้นทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • ธุรกิจเริ่มกลับมามีกำไรในระดับที่มั่นคงมากขึ้น

รีแบรนด์สู่ “HANA” เพื่อภาพลักษณ์ใหม่

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก www.facebook.com/SushiHanaThailand

เพื่อสะท้อนตัวตนของร้านที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะเมนู “ซูชิ” ทางบริษัทจึงได้ตัดคำว่า “Sushi” ออกจากชื่อแบรนด์ เหลือเพียง “HANA” ซึ่งมีความหมายในภาษาญี่ปุ่นว่า “ดอกไม้” เป็นการสื่อถึงความประณีต ความงดงาม และการใส่ใจในรายละเอียดของอาหารทุกจาน

โลโก้ HANA ความหมายที่มากกว่าความสวยงาม

#แรงบันดาลใจจาก “ซากุระ”

ดอกซากุระ เป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่น และยังแทนความสุข ความอ่อนโยน และการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับจิตวิญญาณของร้าน HANA ที่มุ่งเน้นมอบประสบการณ์ดีๆ ให้แก่ลูกค้าในทุกมื้ออาหาร

#สีเหลืองทอง

สีประจำแบรนด์ สื่อถึงความประณีต ความเชี่ยวชาญ และคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในทุกคำของอาหาร

#อักษร “はな” และ “ HANA ”

คำว่า “はな” (ฮานะ) เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “ดอกไม้”

ตัวอักษร “HANA” ด้านล่างโลโก้ มีการออกแบบที่สื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ โดยตัวอักษร A ได้รับแรงบันดาลใจจาก “เสาโทริอิ” ที่พบในศาลเจ้าญี่ปุ่น และยังดีไซน์ให้คล้าย “รอยยิ้มเล็กๆ” เพื่อสื่อถึงความสุขในการให้บริการ

กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ของ HANA

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก www.facebook.com/SushiHanaThailand

1. Digital Marketing เป็นศูนย์กลาง

สื่อสารกับลูกค้าผ่าน Facebook, Instagram, LINE OA และ YouTube อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจัดโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม เช่น ส่วนลดวันเกิด, โปรโมชั่นบัตรสมาชิก, กิจกรรมตามฤดูกาล

2. ขยายช่องทางการขาย

ผ่านบริการเดลิเวอรี (LINE MAN) และแจกคูปองส่วนลดในแพลตฟอร์มต่างชาติอย่าง LAZADA

3. เมนู Lunch Set ราคาย่อมเยา

เพื่อขยายฐานลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษา พร้อมทั้งออกแบบเมนูที่จับคู่ของคาวหวานในราคาที่เข้าถึงได้ ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับมาใช้บริการซ้ำบ่อยขึ้น

HANA การจัดการภายใน สำคัญไม่แพ้การตลาด

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก www.facebook.com/SushiHanaThailand

กรณีของ HANA ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากกระแสความนิยม แต่กลับประสบปัญหาด้านการบริหารภายใน ซึ่งหากขาดการควบคุมคุณภาพและต้นทุนอย่างเข้มงวด ย่อมส่งผลกระทบต่อกำไรในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การปรับกลยุทธ์และโครงสร้างองค์กรใหม่อย่างมีระบบ สามารถฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาแข็งแกร่ง พร้อมรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา

  • ปี 2565 รายได้ 161 ล้านบาท ขาดทุน -9.8 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 133 ล้านบาท ขาดทุน -12.7 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 144 ล้านบาท ขาดทุน -13.8 ล้านบาท

เหตุผลที่คุณควรลอง HANA

  • เชฟผู้มีประสบการณ์ในอาหารญี่ปุ่นกว่า 25 ปี
  • คัดสรรวัตถุดิบนำเข้าคุณภาพสูงจากญี่ปุ่นและแหล่งวัตถุดิบชั้นนำทั่วโลก
  • เทคนิคการปรุงแบบญี่ปุ่นแท้ ผสมผสานกับรสชาติที่ถูกปากคนไทย
  • ราคาคุ้มค่า สมเหตุสมผล
  • บรรยากาศร้านอบอุ่น เหมาะกับมื้อพิเศษ และมื้อประจำวัน

เปรียบเทียบ HANA กับแบรนด์ซูชิเจ้าใหญ่ๆ ในไทย

HANA SUSHI ราชาซูชิ ความสดที่พูดต่อกันปากต่อปาก
ภาพจาก www.facebook.com/SushiHanaThailand

แบรนด์อย่าง Sushiro หรือ Gin no Sara นำเสนอซูชิแบบดั้งเดิมหรือเดลิเวอรีที่คงคุณภาพจากญี่ปุ่นแท้ เน้นวัตถุดิบและประสบการณ์ที่ใกล้เคียงต้นตำรับมากขึ้น ซึ่งลูกค้าให้ความสำคัญกับ “ความสดใหม่” และ “การขนส่งที่ดี”เป็นอย่างยิ่ง

HANA มีจุดแข็งเรื่องความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากเชฟที่มีประสบการณ์ และการโฟกัสคุณภาพ รวมถึงการปรับลดขนาดและจำนวนเมนูเพื่อรักษามาตรฐานและลดต้นทุน ทำให้แบรนด์ญี่ปุ่นบางแบรนด์ต้องปรับตัวเช่นกัน เพื่อรักษาความสดของวัตถุดิบและความคุ้มค่าในราคาที่ลูกค้ารับได้

ในด้านการตลาดแบรนด์ญี่ปุ่นเจ้าใหญ่ๆ มีกำลังขยายสาขา และรีวิว/Engagement บนโซเชียลมีเดียสูง เช่น Sushiro อยู่ในอันดับที่ได้รับความสนใจสูง (ยอด Engagement) จากผู้บริโภคอาหารญี่ปุ่นในไทย ขณะที่ HANA เองใช้กลยุทธ์รีแบรนด์ และปรับการสื่อสารออนไลน์ เพื่อเพิ่มความโดดเด่นและเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

ราคากับต้นทุนเป็นอีกจุดที่ต่างกัน บางแบรนด์ญี่ปุ่นได้รับการสนับสนุนหรือมีระบบนำเข้าวัตถุดิบที่ใหญ่ ซึ่งสามารถจัดการต้นทุนได้ดีกว่า แต่ HANA เผชิญกับปัญหาค่าเช่าในห้างสูง และต้องควบคุมต้นทุนวัตถุดิบอย่างเข้มข้นเมื่อมีหลายสาขา หลังปรับโครงสร้างแล้ว HANA มีความได้เปรียบในแง่ของความคล่องตัวและการจัดการภายในที่โฟกัสได้ตรงจุด

โอกาสของ HANA คือ สามารถใช้จุดแข็งเรื่องประสบการณ์เชฟ การปรับเมนู และการรีแบรนด์เพื่อจับตลาดที่ต้องการซูชิคุณภาพสูง ราคาย่อมเยาไปจนถึงระดับบนได้ ขณะที่ความท้าทายคือการรักษาความหลากหลายของเมนูที่ลูกค้าต้องการ โดยไม่ทำให้การจัดการซับซ้อน และการแข่งขันจากแบรนด์ญี่ปุ่นที่เข้ามาในตลาดเมืองไทยมากขึ้น

สรุปรณีของ HANA สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การเติบโตที่รวดเร็วโดยขาดการบริหารจัดการภายในที่รัดกุม อาจนำไปสู่ปัญหาด้านคุณภาพ ต้นทุน และกำไรของธุรกิจ แม้จะมีฐานลูกค้าที่แน่นและมีชื่อเสียงของแบรนด์ แต่หากระบบหลังบ้านไม่พร้อม อาจทำให้การดำเนินงานของธุรกิจสะดุดได้

แต่การตัดสินใจปรับโครงสร้าง ลดจำนวนสาขา และรีแบรนด์ เพื่อเน้นคุณภาพ การควบคุมต้นทุน และการสื่อสารที่ชัดเจน ทำให้ HANA เริ่มกลับมามีเสถียรภาพ สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิม พร้อมกับขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

แหล่งข้อมูล

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช