Hama Sushi ซูชิคุณภาพสูง ราคาเอื้อมถึง ขยายมากกว่า 500 สาขาในญี่ปุ่น

“ซูชิ” อาหารประจำชาติของญี่ปุ่นมีประวัติยาวนาน ด้วยรสชาติที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง และความพิถีพิถันในการเตรียมวัตถุดิบจึงสะท้อนถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นอย่างดี จากเดิมที่ “ซูชิ” คือการใช้ข้าวนำไปหมักเพื่อช่วยป้องกันการเน่าเสียของปลา

พัฒนามาเป็น “นาราซูชิ” นำข้าวที่หมักมาทานคู่กับปลา จากนั้นก็พัฒนามาเป็น “เอโดะมาเอะซูชิ” หรือซูชิหน้าปลาแบบสดที่ปรุงรสพร้อมรับประทาน ทำให้ซูชิกลายเป็นอาหารจานด่วนยอดนิยมในโตเกียว ซึ่งที่จริงแล้ว “ซูชิ” มีหลายประเภท ได้แก่

  • นิกิริซูชิ (Nigiri Sushi) ข้าวปั้นรูปทรงยาวที่มีหน้าปลาดิบหรือวัตถุดิบอื่น ๆ วางด้านบน
  • มากิซูชิ (Maki Sushi) ข้าวและไส้ต่างๆ ห่อด้วยสาหร่ายม้วนเป็นทรงกระบอกตัดเป็นชิ้น ๆ เพื่อความสะดวกในการทาน
  • เทมากิซูชิ (Temaki Sushi) ซูชิรูปกรวยที่รับประทานด้วยมือ
  • อินาริซูชิ (Inari Sushi) ข้าวปั้นห่อในเต้าหู้
  • ชิราชิซูชิ (Chirashi Sushi) ข้าวใส่ในชามที่โรยหน้าด้วยปลาดิบ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ข้าวหน้าปลาดิบ

ปัจจุบันถ้าดูเฉพาะตลาดซูชิในญี่ปุ่นมีมูลค่าหลายแสนล้านเยนต่อปี ซึ่งไม่ใช่แค่ร้านซูชิแบบดั้งเดิม แต่ยังรวมถึง ซูชิสายพาน ที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1958 ในโอซาก้า รวมถึงยังมีซูชิพร้อมทานในซูเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย ซึ่งในเมืองไทยเอง “ซูชิ” ก็เป็นสินค้าที่คนไทยนิยมกันมาก

แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นที่รู้จักกันดีคือ Sushiro เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยครั้งแรก เมื่อต้นปี 2021 และในเวลาเพียงไม่กี่ปี Sushiro ในไทย สามารถครองใจลูกค้า สร้างทำรายได้ 2,902 ล้านบาท และทำกำไรไป 369 ล้านบาท ในปี 2024

Hama Sushi ซูชิคุณภาพสูง
ภาพจาก https://citly.me/0p38B

แต่จากข่าวล่าสุดตอนนี้ Sushiro เตรียมเจอคู่แข่งสำคัญอย่าง Hama Sushi ที่เตรียมเปิดสาขาแรกในเมืองไทยที่ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ นี่คือการขับเคี่ยวกันของ 2 แบรนด์ซูชิที่สู้กันในญี่ปุ่นไม่พอตอนนี้ยังมาสู้ในตลาดต่างประเทศด้วยซึ่งในญี่ปุ่นเองก็มีหลายแบรนด์ซูชิเช่น

  • Sushiro
  • Kura Sushi
  • Hama Sushi
  • Kappa Sushi

โดย Hama Sushi อยู่ในเครือ “Zensho Holdings” บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารกว่า 20 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Sukiya ร้านข้าวหน้าเนื้อ สาขามากสุดในญี่ปุ่น , Nakau ร้านดงบุริ สินค้าราคาย่อมเยา , Lotteria ร้านอาหารฟาสต์ฟูด , El Torito ร้านอาหารสไตล์เม็กซิโก-อเมริกัน ฯลฯ

ซึ่งบริษัทมีสาขารวมทุกธุรกิจ 15,277 แห่งทั่วโลก และ Zensho มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 269,216 ล้านบาท เป็นบริษัทเชนร้านอาหารที่มีมูลค่ามากสุดในญี่ปุ่น

ภาพจาก https://citly.me/2k4dr

ทั้งนี้ Hama Sushi เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นปี 2002 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั่วญี่ปุ่น ด้วยคอนเซ็ปต์ “ซูชิคุณภาพสูง ราคาที่เข้าถึงได้” ขยายไปมากกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ (มีสาขารวมทั่วโลก 758 แห่ง)

ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ใหญ่รองจาก Sushiro ที่มีราว 650 สาขาในญี่ปุ่น ความสำเร็จของ Hama Sushi มาจากการผสมผสานระหว่างคุณภาพ รสชาติ ราคา และประสบการณ์การรับประทานที่แตกต่าง โดยมีจุดเด่นคือ

  1. ความคุ้มค่าราคา โดยมีราคาเริ่มต้นประมาณ 110 เยนต่อจาน หรือประมาณ 24 บาท
  2. คุณภาพวัตถุดิบและรสชาติ เน้นคุณภาพทั้งวัตถุดิบที่สดใหม่จากแหล่งต่าง ๆ
  3. ข้าวซูชิสูตรพิเศษซอสโชยุที่มีให้เลือกถึง 5 ชนิด ได้แก่
    • โชยุสูตรพิเศษที่ผสมกับน้ำซุปดาชิ เข้ากันได้กับซูชิทุกประเภท
    • โชยุเข้มข้นสไตล์คันโต เหมาะทานกับปลาเนื้อแน่น เช่น โอโทโร
    • โชยุสาหร่ายคอมบุจากฮอกไกโด เหมาะทานกับโฮตาเตะ กุ้งหวาน
    • โชยุหวานสไตล์คิวชู เหมาะทานกับปลาเอนกาวะ
    • โชยุผสมกับยูซุ เหมาะทานกับปลาหมึกยักษ์
  4. ปลอดสารปรุงแต่ง ใส่ใจสุขภาพ ไม่ใช้ผงชูรส สารให้ความหวานสังเคราะห์ หรือวัตถุกันเสีย พร้อมควบคุมคุณภาพและสุขอนามัยอย่างเข้มงวด เพื่อให้ลูกค้าทุกคนมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร
  5. เมนูหลากหลายรวมกว่า 100 รายการ นอกจากซูชิยังมีอีกหลายเมนูน่าสนใจ เช่น ของทอด, ราเมน, สลัด และของหวาน นอกจากนี้ยังมีบริการที่ทันสมัย สั่งอาหารผ่านแท็บเล็ตหน้าจอสัมผัส และใช้ Straight Lane ทำให้อาหารที่สั่งถูกส่งมาที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว
Hama Sushi ซูชิคุณภาพสูง
ภาพจาก https://citly.me/2k4dr

ถ้าดูในส่วนของ Zensho Holdings ที่เป็นบริษัทแม่ของ Hama Sushi ให้ความสำคัญกับ ESG อย่างมาก เห็นได้จากการที่ Hama-Sushi ใช้ สายพานตรง (straight-lane conveyor belt) และระบบสั่งผ่านจอเพื่อลดอาหารที่เสิร์ฟเกินจำเป็นเพื่อลด food loss โดยตรง มองกันในมุมนี้ก็เรียกว่าเป็นการบริหารธุรกิจสไตล์ญี่ปุ่นที่ไม่ได้เน้นแค่คุณภาพแต่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์จากญี่ปุ่นที่ชัดเจนมาก

ในส่วนของรายได้ Hama Sushi ก็ไม่ธรรมดาจำนวนสาขาที่มีกว่า 500 แห่งในญี่ปุ่นถ้านำมาเฉลี่ยรายได้พบว่า ปี 2024 กำไรเฉลี่ยต่อร้านอยู่ที่ประมาณ 19 ล้านเยนต่อปีหรือประมาณ 4.75 ล้านบาท ในปี 2025 (ไตรมาสแรก) กำไรเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.6 ล้านเยนต่อปี หรือประมาณ 8.9 ล้านบาท/ 1 สาขา

อย่างไรก็ดีตัวเลขกำไรดังกล่าวเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income) เท่านั้น ไม่ใช่กำไรสุทธิ (Net Profit) ที่ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมดอีกครั้ง

ถึงกระนั้นด้วยตัวเลขนี้ก็ทำให้มองเห็นศักยภาพของ Hama Sushi ได้ชัดเจนซึ่งถ้านำไปเปรียบเทียบกับ Sushiro ที่อาจมีกำไรต่อสาขามากกว่าแต่ในด้านฐานลูกค้าแล้ว Hama Sushi ถือเป็นแบรนด์ซูชิที่ครองใจกลุ่มลูกค้าตัวเองได้อย่างเหนียวแน่นประกอบกับกลยุทธ์ด้านการตลาดที่เน้นการกระจายสาขาให้ครอบคลุมในญี่ปุ่น

รวมถึงการขยายสาขาไปอีกหลายประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็นผลดีในการกระตุ้นยอดขายของ Hama Sushi ให้เพิ่มมากขึ้นได้อย่างชัดเจน ผสมผสานกับการพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับยุคสมัยและใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย จึงคาดหมายได้ว่า Hama Sushi เป็นแบรนด์ร้านซูชิที่ยังเติบโตได้อีกมาก

ภาพจาก https://citly.me/izb57

เหตุผลน่าสนใจที่คาดว่า Hama Sushi ถ้าเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยแล้วจะได้รับความนิยมไม่แพ้ Sushiro หรือแบรนด์อื่นๆ ก็เพราะความเป็นญี่ปุ่น ที่เน้น “คุณภาพ” + “บริการ” เป็นสำคัญ ถ้าไปดูในญี่ปุ่นเอง ตลาดซูชิเชนสายพานก็มีรายใหญ่เล่นเยอะทั้ง Sushiro, Kura Sushi, Hama Sushi

ซึ่งจะแข่งกันเรื่องราคา คุณภาพ และนวัตกรรมเมนู โดยมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท เช่น สั่งผ่านแท็บเล็ต, หุ่นยนต์ปั้นข้าว, ระบบส่งซูชิด้วยสายพานอัจฉริยะ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความเอาใจใส่ของ “ซูชิญี่ปุ่น” ที่ไม่ได้เน้นแค่รสชาติแต่มุ่งสร้างความประทับใจและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ถ้าไปดูความเห็นของลูกค้าจากญี่ปุ่นที่มีต่อ Hama Sushi ส่วนใหญ่ฟันธงว่า ซูชิแบรนด์นี้อร่อยมาก และเป็นซูชิราคาประหยัดที่คุณภาพพรีเมี่ยมเกินราคา

Hama Sushi ซูชิคุณภาพสูง
ภาพจาก https://citly.me/V6mny

อย่างไรก็ดีตลาดในเมืองไทยกับในญี่ปุ่นอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนนี้ที่สังคมไทยเจอวิกฤติหลายด้านโดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของคนที่ลดลง Hama Sushi น่าจะเข้าใจในบริบทนี้ของเมืองไทยเป็นอย่างดีและคงมีแคมเปญมาช่วยกระตุ้นยอดขาย

ซึ่งก็ไม่รู้ว่ารายได้ของ Hama Sushi ถ้ามาเปิดตัวในเมืองไทยแล้วจะได้ผลตอบรับที่ดีแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ จะเป็นการเพิ่มสีสันให้วงการร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยคึกคักขึ้นอีกมาก

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด