ไฮเปอร์มาร์เก็ต VS ซูเปอร์เซ็นเตอร์! ใครจะรุ่ง ใครจะร่วง
ตลาดค้าปลีกในเมืองไทยยังเป็นธุรกิจที่เติบโตแม้สภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นนัก คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าประมาณ 4.25 ล้านบาท ซึ่งรูปแบบธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทยจะมีด้วยกัน 6 รูปแบบคือ
- ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก (Grocery Store) – ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ที่ดูแลทุกอย่างภายในร้านเองคนเดียว
- ร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง (Specialty Store) เช่น ร้านขายเครื่องสำอาง, ร้านหนังสือ, ร้านเพ็ทช็อป, ร้านขายยา ฯลฯ
- ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) เช่น ร้านมินิมาร์ททั่วไป, 7-Eleven
- ห้างสรรพสินค้า (Department Store) เช่น สยามพารากอน , เซ็นทรัล , เดอะมอลล์
- ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) เช่น Lotus’s , Big C Extra
- ไฮเปอร์มาร์เก็ต (Discount Store, Hypermarket) เช่น Makro, Big C Hypermarket
ตัวอย่างของค้าปลีกในรูปแบบที่ 1-4 ค่อนข้างที่จะเห็นความต่างชัดเจน แต่หลายคนไม่เข้าใจว่าระหว่าง ไฮเปอร์มาร์เก็ต กับ ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ที่ดูเผินๆ เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วแตกต่าง อาจจะพูดได้ว่า ไฮเปอร์มาร์เก็ต คือรูปแบบที่ฮิตมากในอดีตแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนเทรนด์ของซูเปอร์มาเก็ตจึงมาแรงกว่าในปัจจุบัน
ถ้าดูตามประวัติจะพบว่า ไฮเปอร์มาเก็ตเริ่มต้นในปี 2536 โดยกลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าแรกที่เข้ามาบุกเบิกธุรกิจค้าปลีกประเภทนี้ที่สาขาแจ้งวัฒนะ ใช้ชื่อว่า “Big C Supercenter” ต่อมาใน ปี 2537 กลุ่ม CP หรือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เปิด “Lotus Supercenter” ในศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ด้วยพื้นที่กว่า 12,000 ตารางเมตร และในปี พ.ศ.2538 ห้างคาร์ฟูร์ (Carrefour) จากฝรั่งเศส ร่วมทุนกับเซ็นทรัล ตั้งบริษัท CENCAR บริหารค้าปลีกรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างเต็มตัว โดยสาขาแรกตั้งอยู่บนถนนสุขาภิบาล 3 (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นถนนรามคำแหง)
ขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกท้องถิ่นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็ให้ความสนใจรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตและเริ่มขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง อาทิ Big King กลุ่มเมอรี่คิงส์, Save Co. ของกลุ่มเมเจอร์, เมโทร,T SQUARE กลุ่มตั้งฮั่วเส็ง อมรพันธุ์, เอดิสัน, เอ็กเซล, บิ๊กเบลล์, นิวเวิลด์, อิมพีเรียล และสยามจัสโก้
แต่น่าเสียดายที่จุดอ่อนของ ไฮเปอร์มาร์เก็ตด้วยความที่มีขนาดใหญ่ทำให้การบริหารสลับซับซ้อนกว่าธุรกิจค้าปลีกทั่วไป และจำเป็นต้องบริหารต้นทุนให้ต่ำ ใช้ค่าใช้จ่ายน้อย สวนทางกับกระแสสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้ ไฮเปอร์มาเก็ตหลายแห่งล้มหายตายจาก หรือต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบขนาดให้เล็กลงเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
ขณะที่ซูเปอร์มาเก็ตดูท่าจะมาแรงกว่าในสังคมยุคใหม่นี้ธรรมชาติของซูเปอร์มาร์เก็ต คือเน้นขายของหลากหลาย ดังนั้นซูเปอร์มาร์เก็ตแต่ละที่มักจะมีพื้นที่กว้าง ๆ เน้นขาย Volume มาก ๆ ทำให้เราเห็นซูเปอร์มาเก็ตส่วนใหญ่ไปตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าก็เพราะเหตุผลในหลากหลายปัจจัยทั้งการเติมสินค้าที่สะดวก และเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ของห้างสรรพสินค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นซูเปอร์มาเก็ตตั้งอยู่บนพื้นที่ปกติในแหล่งใกล้ชุมชนต่างๆ
ทั้งนี้ในภาพรวมของ ไฮเปอร์มาร์เก็ต VS ซูเปอร์เซ็นเตอร์ พอจะสรุปความต่างให้เห็นภาพคือ
ไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket)
- พัฒนามาจากแนวคิดของประเทศในแถบยุโรป
- เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่รวมซูเปอร์มาร์เก็ต + ห้างสรรพสินค้าเข้าด้วยกัน
- เน้นสินค้าราคาถูก ปริมาณมาก
- พื้นที่กว้าง แบ่งโซนชัดเจน เช่น อาหาร, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เสื้อผ้า
- พื้นที่ของไฮเปอร์มาร์เก็ตจะมีขนาดกว่า 10,000 ตารางเมตร
- การบริหารจัดการมีความซับซ้อนกว่าร้านค้าปลีกแบบอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น Makro, Big C Hypermarket
ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (Supercenter)
- พัฒนาจากแนวคิดของประเทศสหรัฐอเมริกา
- คล้ายไฮเปอร์มาร์เก็ตแต่มีความ “ไลฟ์สไตล์” มากขึ้น
- มีทั้งสินค้าทั่วไปและบริการอื่น ๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โซนความงาม
- มีการตกแต่งให้ชวนเดิน เหมาะกับครอบครัวและการพักผ่อน
- เป็นรูปแบบธุรกิจค้าปลีกที่ปรับให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น : Lotus´s , Big C Extra
ปัญหาที่ธุรกิจค้าปลีกไม่ว่าจะรูปแบบไหนต้องพบเจอมากที่สุดในตอนนี้คือกำลังซื้อที่ลดลงสวนทางกับต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น เราจึงได้เห็นกลยุทธ์การตลาดต่างๆ ของธุรกิจค้าปลีกที่จัดมาเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากที่สุด เรียกว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดวัดกันที่พลังในการบริหาร การวางแผนการตลาดที่ดี รวมถึงธุรกิจค้าปลีกยุคนี้ใครสายป่านยาวกว่าหนากว่าก็ได้เปรียบทำให้ค้าปลีกรายเล็กๆ แทบลืมตาอ้าปากกันไม่ได้เลยทีเดียว
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)