ไม่มี USP ! ไม่มีทางโต ธุรกิจแฟรนไชส์ต้องมีจุดขายชัดเจน

USP (Unique Selling Point) คือจุดขาย หรือจะเรียกว่าเป็นความโดนเด่นของสินค้าและบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง ยิ่งมีจุดขายที่แตกต่าง จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่แยกระหว่าง ธุรกิจแฟรนไชส์ธรรมดา กับ ธุรกิจแฟรนไชส์ที่เติบโตแบบ “ติดเทอร์โบร์” ดังนั้นการจะทำแฟรนไชส์ให้รุ่ง ไม่ใช่แค่เปิดสาขาเยอะๆ แต่ต้องมี USP ร่วมด้วย เพื่อดึงดูดนักลงทุนหรือลูกค้าเพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ว่าทำไมต้อง “ลงทุนกับแฟรนไชส์นี้”

ยกตัวอย่าง Unique Selling Point ที่ดีในธุรกิจแฟรนไชส์ ได้แก่

  • สินค้าเฉพาะตัว เช่น เมนูอาหารลับ สูตรเฉพาะ หรือวัตถุดิบหายาก
  • แบรนด์แข็งแรง เช่น มีชื่อเสียงในโซเชียล มีลูกค้าประจำมากมาย
  • ระบบสนับสนุนแฟรนไชส์ซี เช่น การเทรนนิ่งเต็มระบบ ซัพพอร์ตการตลาดทุกเดือน
  • ลงทุนคุ้มค่า เช่น กำไรต่อเดือนสูง คืนทุนเร็วภายใน 6 เดือน
  • ทำเลง่าย เปิดร้านสะดวก เช่น ใช้พื้นที่น้อย ไม่ต้องมีครัวใหญ่

หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นมาอีกหน่อยลองดูแฟรนไชส์ชานมไข่มุกที่ปัจจุบันสินค้าแทบจะไม่ต่างกัน ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างพยายามชูเรื่องรสชาติ คุณภาพ และบริการเป็นสำคัญคำถามคือถ้าต้องการ “หนีคู่แข่ง” ด้วย Unique Selling Point จะทำได้อย่างไร

ก่อนอื่นแบรนด์เองก็ต้องมองภาพรวมก่อนว่าคุณค่าข้อไหนที่เราสามารถพัฒนาเป็นจุดขายเฉพาะได้ เช่น

  • ลูกค้าต้องการอะไร
  • สิ่งที่แฟรนไชส์เราทำให้ลูกค้าได้คืออะไรบ้าง
  • อะไรคือสิ่งที่แฟรนไชส์คู่แข่งกำลังทำให้กับลูกค้า

การตั้งคำถามเหล่านี้เพื่อที่จะกำหนดทิศทางของ Unique Selling Point ให้ถูกต้อง เช่นถ้าลูกค้าต้องการเครื่องดื่มที่นอกจากสดชื่นแล้วยังต้องดีต่อสูขภาพ ซึ่งคู่แข่งบางแบรนด์ก็อาจมีการทำตลาดแบบนี้ไปบ้างแล้ว ทีนี้ก็ต้องมาดูว่าถ้าเป็นสินค้าที่ใกล้เคียงกันแต่จะทำยังไงให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

ก็จะย้อนกลับมาที่เรื่องของ “คุณค่า” ที่ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของเราดีแค่ไหน ซึ่งมีข้อมูลน่าสนใจระบุว่าคุณสมบัติของจุดขายเฉพาะที่ดีมี 4 ข้อได้แก่

  1. ต้องแตกต่าง แต่ยังมีคุณค่าต่อลูกค้าเป้าหมาย
  2. มีเหตุผลให้ลูกค้าต้องซื้อซ้ำ ๆ
  3. ต้องทำได้ไม่ง่าย คู่แข่งทำตามได้ยากในเวลาสั้น ๆ
  4. เป็นจุดขายที่ใหม่และไม่เคยมีใครทำมาก่อนเพื่อให้เป็น Top of Mind ของลูกค้าได้

หรือถ้ามองในแง่ของการดึงดูดนักลงทุน การสร้าง Unique Selling Point ก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากหลักการตัดสินใจของคนลงทุนมักโฟกัสที่เรื่อง “รายได้” และ “กำไร” หากเราสามารถสร้างธุรกิจแฟรนไชส์ให้มี Unique Selling Point + ยอดขายที่พิสูจน์ได้ = น่าลงทุนสุดๆ ดังนั้นจึงจำเป็นมีเอกสารการเงินง่ายๆ เช่น กราฟยอดขาย รายได้เฉลี่ยต่อวัน กำไรต่อเดือน เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้นักลงทุนด้วย ยกตัวอย่างเช่น

แฟรนไชส์เครื่องดื่ม : “คืนทุนไวใน 3 เดือน”

  • จุดขาย: วัตถุดิบต้นทุนต่ำ แต่ขายได้กำไรสูง
  • ค่าแฟรนไชส์: 150,000 บาท
  • ต้นทุนต่อแก้ว: 10 บาท
  • ขายเฉลี่ย 100 แก้ว/วัน ราคา 40 บาท/แก้ว
  • รายได้ต่อเดือน: 40 x 100 x 30 = 120,000 บาท
  • กำไรหลังหักต้นทุนเฉลี่ย: 90,000 บาท/เดือน

*** คืนทุนใน 2 เดือนครึ่ง ***

ซึ่งปัจจุบันทีมงานของแต่ละแฟรนไชส์จะมีการวิเคราะห์เชิงตัวเลขแบบนี้ให้นักลงทุนได้เห็นภาพชัดเจนก็นับเป็น Unique Selling Point ในรูปแบบของการลงทุนที่ของใครชัดเจนที่สุด ก็มีโอกาสขยายสาขาแฟรนไชส์ได้มากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดีแม้ Unique Selling Point จะเป็นวิธีสร้างจุดเด่นเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายและดึงดูดนักลงทุนแต่ก็มีเรื่องที่ต้องพึงระวังหากเป็น Unique Selling Point ที่โอ้อวดเกินจริง จะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์

หรือการสร้างจุดขายโดดเด่นจริงแต่ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนและเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย ก็อาจทำให้ Unique Selling Point ที่น่าจะดีกลายเป็น Unique Selling Point ที่ไม่มีประสิทธิภาพได้

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด