อวสาน E-commerce ไทย? ต่างชาติรุกหนัก ตลาดไทยกำลังถูกผูกขาด!
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจ E-commerce ในประเทศไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
แต่เบื้องหลังการเติบโตนี้ กลับแฝงไปด้วยความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของการแข่งขันทางธุรกิจ เมื่อ “แพลตฟอร์มต่างชาติ” กลายเป็นผู้ควบคุมตลาดเกือบทั้งหมด โดยมีส่วนแบ่งตลาดหลัก ดังนี้
- Shopee (สิงคโปร์) 49%
- Lazada (จีน) 30%
- TikTok Shop (จีน) 21%
รวมกันแล้ว ครองตลาด 100% ของแพลตฟอร์มหลักในไทย ซึ่งทั้งหมด ไม่ใช่ของคนไทยเลย

ขณะเดียวกัน ยังมี Temu (จีน) ที่กำลังเร่งรุกตลาดไทยอย่างจริงจัง ด้วยเป้าหมายชัดเจน คือการยึดครองส่วนแบ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท
ผูกขาดไม่ใช่แค่ “ค้าปลีก” แต่อาจกินรวบทั้งระบบ

คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอ TARAD.com เตือนว่า “การผูกขาดได้เกิดขึ้นแล้ว” ไม่ใช่แค่ในโลกของการขายสินค้าออนไลน์ แต่ แพลตฟอร์มต่างชาติเริ่มขยายอิทธิพลไปยังหลายอุตสาหกรรม เช่น
ระบบขนส่ง
ทุกแพลตฟอร์มมีระบบขนส่งของตัวเอง ใช้เจ้าใหญ่เช่น J&T หรือขนส่งภายในที่ตนควบคุมเอง โดยเลือกส่งเฉพาะเส้นทางที่ “กำไรงาม” และผลักภาระให้รายย่อยส่งในพื้นที่ที่ “ไม่คุ้มทุน”
ระบบโฆษณา
ร้านค้าต้องซื้อโฆษณาจากแพลตฟอร์ม เพื่อให้สินค้าได้การมองเห็น ไม่สามารถวางกลยุทธ์ได้เอง
การเงิน – การธนาคาร
แพลตฟอร์มต่างประเทศเริ่มให้บริการสินเชื่อ ปล่อยกู้ แปลงตัวเป็น “ธนาคารนอกระบบ” อย่างกลายๆ มีการควบคุมทั้งข้อมูล รายจ่าย และวงเงินของผู้ค้ารายย่อย
นี่คือการผูกขาด “แบบนิ่มๆ” ที่ซ่อนอยู่หลังความสะดวกสบายและราคาถูกของผู้บริโภค
ร้านค้าไทย จากเจ้าของธุรกิจ สู่ ลูกจ้างในระบบคนอื่น

คุณภาวุธ อธิบายว่า ร้านค้าไทยในวันนี้แทบไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรได้เองอีกแล้ว ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติเพื่อขายของ เลือกขนส่งเองไม่ได้ ข้อมูลลูกค้าถูกปิดกั้นอ้างเรื่อง PDPA ต้องแข่งขันกับสินค้าจีนราคาถูกที่แพลตฟอร์มเป็นคนนำเข้าเอง ที่สำคัญบางครั้งเจ้าของแพลตฟอร์มก็ “ลงมาขายเอง” แข่งกับร้านค้า
จากเดิมที่ร้านค้าขายของหน้าร้านในชุมชนของตัวเอง ตอนนี้ต้องเข้าสู่สนามแข่งขันที่ดุเดือดในโลกออนไลน์ เจอกับคู่แข่งนับพัน ต้องลดราคา ขายแบบไม่มีกำไร จนหลายรายอยู่ไม่ได้
ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยกำลังตกอยู่ในสภาพ “ไร้อำนาจต่อรอง” โดยต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้ในการขายของ แต่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย โดยปัญหาที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญ มีหลายด้าน เช่น
- ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มที่สูงขึ้นต่อเนื่อง เดิมเริ่มจาก 0% ปัจจุบันบางแพลตฟอร์มเก็บ 10-15%
- ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลลูกค้า ทำให้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคหรือทำการตลาดเองไม่ได้
- ต้องแข่งขันกับสินค้าจีนที่ถูกกว่า เพราะได้รับการอุดหนุนจากต่างประเทศ
- กลายเป็นแค่ผู้ขายในระบบของคนอื่น ไม่มีสิทธิ์กำหนดราคา โปรโมชัน หรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ
ขายของแต่ไม่รู้จักลูกค้า
แพลตฟอร์มต่างชาติไม่ได้ให้ข้อมูลลูกค้ากลับมาให้ผู้ขายเลย แม้แต่ชื่อ อีเมล หรือพฤติกรรมการซื้อ เพราะอ้างเรื่องกฎหมาย PDPA ซึ่งทำให้ร้านค้าไทยไม่สามารถ
- ทำ CRM หรือ Retargeting ได้
- สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
- วางแผนการตลาด หรือพัฒนาสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ร้านค้ากลายเป็นเพียง “ผู้ขาย” ในระบบที่ตัวเองไม่มีอำนาจใดๆ
แล้วใครได้ประโยชน์?

ผู้บริโภคได้ราคาถูกในวันนี้ แต่ผู้ผลิตไทยจำนวนมากกำลังทยอยปิดตัว เพราะ
- สู้ราคาสินค้าจีนไม่ได้
- ขายของไปแล้ว ไม่ได้กำไร
- ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทุกปี ทั้งค่าธรรมเนียมและค่าโฆษณา
- ขาดเครื่องมือและข้อมูลเพื่อวางแผนธุรกิจ
สุดท้าย ร้านค้าไทยจะเหลือน้อยลง เพราะตายหมด
ตัวอย่างชัดเจน คือ Shopee ที่ในปี 2566 มีกำไร 2,000 ล้านบาท พอมาปี 2567 กำไรเพิ่มเป็น 4,600 ล้านบาท สะท้อนว่า ตอนนี้คือช่วงเริ่มต้นของการ “รีดกำไร” หลังจากครองตลาดสำเร็จแล้ว
ทุกคลิกของผู้บริโภค เงินไหลออกนอกประเทศ
คุณภาวุธฝากข้อสังเกตสำคัญว่า ให้ผู้บริโภคลองย้อนดูรายการสั่งซื้อของคุณดูว่า กี่ชิ้นส่งมาจากจีน
ถ้าเราสั่งของ 20 ชิ้น เชื่อได้ว่า มากกว่าครึ่งส่งตรงจากจีน ทุกครั้งที่เราซื้อของแบบนี้จะทำให้
- เงินไม่ได้หมุนในระบบเศรษฐกิจไทย
- ประเทศไทยเก็บภาษีไม่ได้เลย เพราะสินค้านำเข้าราคาต่ำกว่าเกณฑ์
- ไม่เกิดการจ้างงานในประเทศ
- ธุรกิจไทยในหมวดเดียวกันก็ค่อยๆ ตายไป
นี่คือการสูญเสียอนาคตทางเศรษฐกิจ เพื่อแลกกับสินค้า “ราคาถูกชั่วคราว”
ทำไมถึงไม่มีแพลตฟอร์มไทย?

เพราะเทคโนโลยีไทย ไม่มีเงินทุนและอำนาจเท่าแพลตฟอร์มต่างชาติ แถมยังไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอจากภาครัฐ
ในหลายประเทศเริ่มเห็นความเสี่ยงและออกมาตรการควบคุมอย่างชัดเจน เช่น อินโดนีเซีย สั่งระงับ TikTok Shop ชั่วคราวจนกว่าจะปฏิบัติตามกฎหมาย ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เวียดนาม : มีแพลตฟอร์มของตัวเอง เช่น Rakuten, Coupang, Tiki.vn
แต่ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายชัดเจน ไม่มีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท, ยังไม่มีมาตรการควบคุมการ “ขายตัดราคา” และยังขาดการสนับสนุนแพลตฟอร์มไทยอย่างจริงจัง
แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง
สำหรับ “ร้านค้าไทย”
- สร้างช่องทางของตัวเอง เช่น เว็บไซต์, Line OA, Facebook Page
- เก็บข้อมูลลูกค้า ด้วยระบบ CRM ของตัวเอง
- ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียว
- รวมกลุ่มเป็นคลัสเตอร์อีคอมเมิร์ซท้องถิ่น ช่วยเหลือกัน
- เลือกใช้ระบบชำระเงิน-ขนส่งของไทย เช่น Pay Solutions
สำหรับภาครัฐ
- ออกกฎหมายควบคุมพฤติกรรมผูกขาดของแพลตฟอร์ม
- เก็บภาษีสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศอย่างเท่าเทียม
- สนับสนุนการสร้างแพลตฟอร์มไทย
- พัฒนาทักษะดิจิทัลและเครื่องมือสำหรับ SMEs
- พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ชำระเงิน และทักษะดิจิทัลของผู้ค้าไทย
ส่งเสริม “Open Commerce Network” หรือ ระบบค้าขายแบบเปิด ที่ไม่ผูกขาดโดยเอกชนรายใดรายหนึ่ง โดยมีคุณสมบัติ เป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับร้านค้าไทย, เชื่อมต่อกับระบบขนส่ง-ชำระเงินในประเทศ, เก็บข้อมูลสินค้า-ลูกค้าไว้ในระบบของไทย และเปิดให้ใช้งานฟรีหรือต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะ SMEs

สรุป ถ้าไม่ลุกขึ้นสู้วันนี้ พรุ่งนี้อาจสายเกินไป วันนี้ เราอาจยังเป็น “ผู้บริโภคที่มีความสุขกับของถูก”
แต่ในไม่ช้า อาจต้องขออนุญาตแพลตฟอร์มต่างชาติ เพื่อขายของในประเทศตัวเอง ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่กำลังขาด โครงสร้างที่เป็นธรรม และ อธิปไตยทางดิจิทัล
คำถามคือ เราจะปล่อยให้ธุรกิจไทยกลายเป็น “เพียงผู้ตาม” ไปตลอดหรือไม่ เท่านั้นเอง
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




