อวสานธุรกิจเสื้อผ้าออนไลน์! ทุนจมไม่มีคนซื้อ

ธุรกิจเสื้อผ้าออนไลน์บูมสุดขีดในช่วงปี 2020-2022 อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งหลังปี 2019 เป็นต้นมา ตลาดอีคอมเมิร์ชแฟชั่นของไทยมีมูลค่าประมาณ 1.2 -1.5 หมื่นล้านบาท จุดพีคสุดอยู่ในปี 2021 ร้านค้าบน TikTok Shop และ Facebook Live ในไทยรายงานยอดขายเพิ่ม 30-45% ถึงขนาดที่ร้านขนาดเล็กบางรายยังสามารถทำยอดขายได้ 1-2 ล้านบาท/เดือน

เป็นที่ทราบกันดีว่าเหตุผลที่ดันให้ธุรกิจเสื้อผ้าออนไลน์โตแบบก้าวกระโดดในช่วงนั้น ก็เป็นผลจากการล็อคดาวน์ที่ร้านค้าปลีกกว่า 90% ต้องปิดกิจการชั่วคราว ผู้คนหันมาช็อปปิ้งออนไลน์ถึงขนาดที่ดันยอดขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นในทุกหมวดหมู่สินค้าและรวมถึงเสื้อผ้าออนไลน์ด้วยเช่นกัน

มาถึงปัจจุบันกระแสเสื้อผ้าออนไลน์ยังมีอยู่แต่สถานการณ์แตกต่างจากเมื่อหลายปีก่อนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แม้ธุรกิจนี้ยังติดกลุ่มเทรนด์ฮิตที่คนสนใจลงทุน ชี้ชัดด้วยตัวเลขการเติบโตบนแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada, Facebook และ TikTok Shop เฉลี่ย 20% ต่อปี และคาดว่าปี 2568 มูลค่าการตลาดจะพุ่งถึง 7.5 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยเฉพาะ “ทุนจม” (sunk costs) คือเงินที่ลงไปแล้วแต่ไม่สามารถดึงกลับมาได้ เช่น สต็อกสินค้าค้างขาย ค่าการตลาดที่ไม่ได้ผล หรือค่าจ้างที่ไม่คุ้มค่า ส่งผลให้หลายรายไม่กำไรหรือขาดทุนหนัก

จากข้อมูลสถิติปี 2025 ธุรกิจแฟชั่นออนไลน์มีอัตราการล้มเหลวสูงถึง 70-80% ในปีแรก หากไม่จัดการต้นทุนดีพอ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่ขาดระบบจัดการ สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันดุเดือด โดยคาดการณ์ว่ามีร้านแฟชั่นออนไลน์กว่า 25,000 รายในไทย และยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลว เช่น ราคาต้นทุนสูงจากนำเข้า/ผลิต และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่ fast fashion

ถ้าไปดู 5 สาเหตุที่ทำให้แม่ค้าขายเสื้อผ้าออนไลน์ หมดตัว น่ากลัวที่สุด!! คือ

ภาพจาก https://elements.envato.com

1.ขายของเหมือนๆกัน กับเจ้าอื่น ไม่มีความแตกต่างเพราะรับมาจากที่เดียวกัน ลูกค้าจะซื้อกับแม่ค้าคนไหนก็เหมือนๆกัน ใครให้ถูกกว่าก็ซื้อกับคนนั้น

2.แข่งกันตัดราคา ลดแล้วลดอีก เพื่อให้ลูกค้ามาซื้อกับสินค้า หวังจะขายแต่เชิงปริมาณ สุดท้ายไม่เหลือกำไร สุดท้ายทำไปก็เหนื่อยฟรี ได้ไม่คุ้มเสีย!!

3.ติดสต็อกจมทุน จมของ ยกตัวอย่างเสื้อผ้ารุ่นที่ขายดีก็มีของไม่เยอะ ขายได้นิดเดียวของหมด ไม่พอขาย ก็ต้องสั่งเพิ่มก็ต้องเพิ่มทุนเข้าไป แต่ขายไม่ดีเท่าเดิม ยิ่งขายยิ่งจน สต็อกมากขึ้นทุกวัน คิดแต่ว่า “ของเหลือคือกำไร” สุดท้ายต้องมาจัดโปรลดราคา ไม่งั้นก็ขายไม่ออก ของก็ค้างสต็อค บางรุ่นจัดโปรแล้วก็ยังขายไม่ออก เปลี่ยนออกมาเป็นเงินไม่ได้ ต้องควักทุนตลอด

ภาพจาก https://elements.envato.com

4.เข้าถึงแหล่งผลิตต้นทางจริงๆไม่ได้ ได้แต่รับต่อเค้ามาอีกที กำไรเล็กๆน้อยๆ แถมต้องมาเจอลูกค้าจุกจิก เปลี่ยนของ
ขอคืนเงิน

5.ไม่ทำการตลาด ซื้อมา ขายไป ไม่มีความรู้เรื่องการตลาดเลย ยิงแอดก็ไม่เป็น หรือพอทำได้แต่ก็ทำผิดๆ ถูกๆ สุดท้ายกลายเป็นขาดทุนค่าแอด เอาเงินทุนไปเผาทิ้งเล่นแบบไม่ได้ประโยชน์กลับมา

ถ้าไปดูในเรื่องตัวเลขกำไร – ขาดทุนของธุรกิจเสื้อผ้านี่ยิ่งชัดว่า การบริหารต้นทุนคือหัวใจของธุรกิจ เพราะโดยเฉลี่ยต้นทุนรวมในการขายเสื้อผ้าออนไลน์อยู่ที่ 70-80% ของยอดขาย ทำให้กำไรสุทธิเหลือน้อยมาก

หากยอดขายไม่ถึงเป้า ทุนจมจะสะสมเร็ว ยิ่งเจอกระแส fast fashion บางทีเสื้อผ้าที่สั่งมากลายเป็นเลิกฮิต เปลี่ยนไปเป็นแฟชั่นอื่น

มันก็คือทุนของผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับ ไหนจะคู่แข่งที่หากใส่ราคาแพงคนก็ไม่อยากซื้อ ราคาขายเฉลี่ยเสื้อผ้าออนไลน์ไทย 100-300 บาท/ชิ้น แต่กำไรขั้นต้นเหลือแค่ 20-30% ถ้าอธิบายให้เห็นภาพลองดูตัวอย่างนี้

ภาพจาก https://elements.envato.com

สมมติแม่ค้าออนไลน์ลงทุนเสื้อผ้า 100 ตัว

  • ราคาซื้อ: ตัวละ 120 บาท ทุนรวม = 12,000 บาท
  • ราคาขาย: ตัวละ 250 บาท กำไรขั้นต้น = 130 บาท/ตัว

ค่าใช้จ่ายแฝงได้แก่

  • ค่าขนส่งฟรีที่แม่ค้ารับผิดชอบ: 40 บาท/ออเดอร์
  • ค่าโฆษณา Facebook: 5,000 บาท/เดือน
  • ค่าบรรจุ/ถุงแพ็ค/สติ๊กเกอร์: 10 บาท/ตัว
ภาพจาก https://elements.envato.com

ยอดขายจริง (ขายได้แค่ 60 ตัว)

  • รายได้: 60 × 250 = 15,000 บาท
  • ต้นทุนสินค้า: 60 × 120 = 7,200 บาท
  • กำไรขั้นต้น = 7,800 บาท

หักค่าใช้จ่าย:

  • ค่าขนส่ง (60 × 40) = 2,400 บาท
  • ค่าโฆษณา = 5,000 บาท
  • ค่าบรรจุ (60 × 10) = 600 บาท
  • กำไรสุทธิ = 7,800 – (2,400+5,000+600) = –200 บาท (ขาดทุน)
  • ส่วนสต็อกที่เหลือ 40 ตัว (ทุน 4,800 บาท) เท่ากับว่าเงินจมทันที

วิธีแก้ในเบื้องต้นสำหรับกาแก้ปัญหาไม่ให้ทุนจม มีด้วยกันหลายวิธีเช่น ใช้สต็อกน้อยลงแต่หมุนไวขึ้น อาจเริ่มจาก 20-30 ตัวต่อแบบ

ภาพจาก https://elements.envato.com

ถ้าขายดีจริงค่อยเพิ่มหรือการศึกษาข้อมูลจาก Google Trends ก่อนสั่งสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงเทรนด์ที่มาไวไปไวอีกวิธีที่น่าสนใจก็คือ dropshipping ให้ลูกค้าสั่งจ่ายก่อน แล้วค่อยสั่งของมา จะลดเงินจมสต็อก แต่ลูกค้าอาจจะไม่ปลื้มกับวิธีแบบ dropshipping เพราะอาจต้องรอนานขึ้น

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้เราพบว่าแม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด เน้น content marketing (ไลฟ์สด TikTok) แทนการใช้ ads แพง ซึ่งมีตัวเลขน่าสนใจว่าช่วยลดต้นทุน 15% และเพิ่มยอด 20-30%

และผู้ประกอบการบางรายก็หันมาใช้ POS หรือแอพจัดการออเดอร์ เช่น StoreHub ที่ลดเวลาตอบแชทจาก 1 ชม. เหลือ 5 นาที เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างยอดขายได้ประมาณ 15%

ถ้ามองในมุมของธุรกิจแล้ว “เสื้อผ้าออนไลน์” อาจยังไม่ถึงขั้นเรียกว่าอวสานในทันที แต่จะเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน ใครที่ปรับตัวได้ก็อยู่รอด ใครปรับตัวไม่ทันบริหารไม่ดีก็ถึงคราวอวสาน สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันก็มีผลที่คนควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น พวกเสื้อผ้ามือสองที่ราคาถูกกว่าจึงเป็นที่สนใจของลูกค้ามากขึ้นเช่นกัน

และอีกวิธีที่แนะนำว่าใช้ได้คือการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าตัวเองให้แตกต่างจากร้านอื่น และต้องสื่อสารกับลูกค้าให้เข้าใจว่าอะไรคือจุดเด่นที่แบรนด์เรามี และทำไมเขาควรเลือกซื้อเสื้อผ้าจากแบรนด์ของเรา

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด