สร้างรายได้แฟรนไชส์ด้วย “Brand Equity” คุ้มค่าลงทุน

Brand Equity คือ “คุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ต่อแบรนด์” ซึ่งไม่ใช่แค่โลโก้หรือชื่อเสียง แต่รวมถึง ความเชื่อมั่น ความชอบ ความภักดี (Loyalty) และ “ภาพลักษณ์” ที่แบรนด์สร้างขึ้นในใจผู้บริโภค เมื่อแบรนด์มี Brand Equity สูง = ลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่า เลือกแบรนด์นั้นแม้มีตัวเลือกอื่น และบอกต่ออย่างเต็มใจ

สร้างรายได้แฟรนไชส์ด้วย “Brand Equity”

ทำไมธุรกิจแบรนด์ดังๆ เขาถึงขายดี?

  • สตาร์บัคส์ รายได้ปี 2567 จำนวน 10,513 ล้านบาท กำไร 978 ล้านบาท
  • Cafe Amazon ยอดขายครึ่งปีแรกปี 2568 จำนวนกว่า 211 ล้านแก้ว สาขารวม 4,547 แห่ง รายได้รวมของบริษัทในครึ่งปีแรกประมาณ 6,611 ล้านบาท
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven มีรายได้ในครึ่งปีแรก 2568 ประมาณ 130,089 ล้านบาท กำไรประมาณ 9,155 ล้านบาท
  • McDonald’s สร้าง Brand Equity แข็งแรงมาก แม้ขายเบอร์เกอร์ราคาแพงกว่าคู่แข่ง ลูกค้าก็ยังเลือก มีมูลค่าแบรนด์กว่า 7 ล้านล้านบาท สร้างรายได้จากแฟรนไชส์กว่า 60% ของรายได้รวม

จะฟันธงว่าบริษัทเหล่านี้มีสเกลที่ใหญ่ มีอำนาจในการต่อรองสูง หรือมีโครงสร้างทางธุรกิจที่ครบวงจร แต่นั่นก็เป็นแค่ภาพหนึ่งในเรื่องของการบริหารจัดการ เหนือสิ่งอื่นใดคือ “การตลาด” ที่ทำอย่างไรถึง “ดึงเงินออกจากกระเป๋า” ลูกค้าได้ นี่คือสิ่งชี้วัดและเป็นเทคนิคสำคัญที่ควรเรียนรู้เพื่อนำมาปรับใช้แม้ว่าธุรกิจของเราจะยังไม่ใหญ่เท่าก็ตาม

มีสถิติที่น่าสนใจระบุว่า

80% ของลูกค้าคาดหวังให้แบรนด์นำเสนอสินค้า และ บริการแบบเฉพาะเจาะจง หรือตรงใจกับความต้องการของลูกค้า 90% ของผู้บริโภคมักตัดสินใจดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม หากเห็นโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของตนเอง นั่นหมายความว่า “สินค้าใดก็ตามที่ถูกใจหรือเป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการ คนเรามักตัดสินใจซื้อในทันที”

ทำไม Brand Equity ช่วยแฟรนไชส์สร้างรายได้?

สร้างรายได้แฟรนไชส์ด้วย “Brand Equity”

1.ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ (Franchise Fee) สูงขึ้นได้

แบรนด์ที่มีชื่อเสียง สามารถเก็บค่าแรกเข้าแฟรนไชส์แพงกว่า เช่น Starbucks เก็บค่าแรกเข้าเฉลี่ย $40,000 – $90,000 และลงทุนรวมกว่า $315,000 – $2.4 ล้าน ต่อสาขา เพราะคนมั่นใจในแบรนด์

2.ค่าลิขสิทธิ์ (Royalty Fee) ต่อเนื่อง

ธุรกิจแฟรนไชส์ส่วนใหญ่เก็บ 4%–8% ของยอดขาย แต่แบรนด์ดังอย่าง McDonald’s สามารถเก็บ 8% ของยอดขาย เพราะแบรนด์มีพลังดึงลูกค้าเข้าร้านอยู่แล้ว

3.ขายง่าย – ขยายไว

จากสถิติแฟรนไชส์ไทย : กว่า 70% ของผู้ซื้อแฟรนไชส์เลือกจากชื่อเสียงแบรนด์ ไม่ใช่แค่รสชาติหรือสินค้านั่นหมายความว่า “แบรนด์” คือแม่เหล็กดึงนักลงทุน

4.การตั้งราคาสินค้าได้สูงกว่า

งานวิจัย Nielsen พบว่า ผู้บริโภคพร้อมจ่ายเพิ่ม 20–30% หากเป็นแบรนด์ที่เชื่อถือ

และถ้าให้ไปวิเคราะห์เจาะลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาด พบว่าเทคนิคที่แบรนด์ดังส่วนใหญ่มักนำมาใช้ได้แก่

1. Omnichannel

เป็นการตลาดแบบผสานทุกช่องทางที่ธุรกิจมี เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงธุรกิจได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการเชื่อมโยงเก็บข้อมูลของลูกค้าอย่างรอบด้าน ลูกค้าสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าได้จากทั้งทางมือถือและหน้าจอคอม รวมถึงหน้าร้าน อุดทุกช่องโหว่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างธุรกิจและลูกค้า เช่น Starbucks ที่มีการใช้แอพพลิชั่น Starbuck rewards app เพื่อสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้ลูกค้าแบบ Personalized และยังช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษ

2. การขยายสาขาแบบ Line Extensions

เป็นการมุ่งพัฒนาสินค้าเดิม ของแบรนด์เดิม จุดขายหลักเดิม แต่พัฒนาสินค้าเพิ่มเติม เช่น การเพิ่มรสใหม่ กลิ่นใหม่ ส่วนผสมใหม่ และบรรจุภัณฑ์ใหม่ มีเป้าหมายเพื่อให้เป็นกระแสในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจได้มากขึ้นด้วย

3. Hyper-Personalization

การเข้าใจถึงความต้องการ พฤติกรรมการบริโภค ช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายนิยมใช้บนโลกออนไลน์ รวมถึงปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายต้องการแก้ไข เช่น Sephora ที่จัดจำหน่ายทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เครื่องสำอาง และบริการด้านความงาม ได้นำ Big Data มาต่อยอดในการวิเคราะห์หาผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้ามองหา และตอบโจทย์กับพฤติกรรมการซื้อสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

4. Brand Loyalty

สร้างรายได้แฟรนไชส์ด้วย “Brand Equity”

นักการตลาดมักบอกเสมอว่า “การสร้างลูกค้าใหม่ 1 คน จะมีต้นทุนสูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่า 1 คน” วิธีการที่ดีที่สุดคือสร้าง Brand Loyalty เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ โดยแสดงให้เห็นผ่านการซื้อซ้ำและการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ซึ่งเกิดขึ้นจากความพึงพอใจต่อสินค้าและบริการที่ลูกค้าได้รับก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นหรือไว้ใจแบรนด์ ตลอดจนแนะนำให้ผู้อื่นมาซื้อหรือใช้บริการด้วย

สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลสำคัญว่าทำไม Brand Equity ถึงมีความสำคัญและทำไมคนที่ทำแฟรนไชส์ควรสนใจกับเรื่องนี้ ยิ่งในยุคที่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง ลูกค้ามีตัวเลือกเยอะ เราต้องหาจุดเด่นและแรงดึงดูดลูกค้าให้สนใจได้มากที่สุด ในทางตรงข้ามถ้าเรากลายเป็นแฟรนไชส์ที่มี Brand Equity ลูกค้าจะเข้ามาหาเราเองแต่ในตอนแรกที่เริ่มต้นอาจต้องเหนื่อยเพื่อสร้าง Brand Equity ให้เกิดขึ้นได้

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด