วุฒิศักดิ์คลินิก คลินิกความงามในห้าง วันนี้หายไปไหน
ถ้าพูดถึงธุรกิจความงามในประเทศไทย เชื่อว่าคงมีน้อยคนที่จะไม่รู้จัก “วุฒิศักดิ์คลินิก” เพราะเป็นคลินิกดูแลความงามที่มีสาขาทั้งในและต่างประเทศ มีความโดดเด่นด้วยแคมเปญโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ มีพรีเซนเตอร์ชื่อดังของเมืองไทยมากมาย ที่สำคัญมีภาพลักษณ์ของคลินิกความงามที่ทันสมัย ใกล้ชิดผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
ด้วยจำนวนสาขาที่เคยสูงกว่า 130 แห่ง และมีมูลค่าธุรกิจในช่วงพีคที่เคยประเมินกันว่าแตะระดับหลายพันล้านบาท วุฒิศักดิ์คลินิกเคยถูกมองว่าเป็น “เบอร์หนึ่งของวงการความงาม” ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชื่อของวุฒิศักดิ์คลินิกค่อยๆ เงียบหายไปจากหน้าสื่อ หลายๆ สาขาทยอยปิดตัวลง ผู้บริโภคบางส่วนเริ่มตั้งคำถาม และนักลงทุนก็เริ่มหันไปจับตาธุรกิจความงามรายอื่นแทน
คำถามสำคัญ คือ เกิดอะไรขึ้นกับวุฒิศักดิ์คลินิก?
ทำไมแบรนด์ที่เคยยิ่งใหญ่ จึงเดินมาถึงจุดเปลี่ยน?
และบทเรียนใดที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ควรเรียนรู้จากกรณีนี้?
บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนสำรวจเส้นทางของวุฒิศักดิ์คลินิก ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองจนถึงจุดล่มสลาย พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง และเปรียบเทียบกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อถอดบทเรียนทางธุรกิจไว้เป็นกรณีศึกษา
จุดเริ่มต้น…วุฒิศักดิ์คลินิก

วุฒิศักดิ์คลินิก เริ่มต้นดำเนินธุรกิจด้านความงามและผิวพรรณอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2545 โดยเปิดให้บริการสาขาแรกที่ “งามวงศ์วาน” ก่อตั้งโดย นายแพทย์วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช, คุณพลภัทร จันทร์วิเมลือง และ คุณณกรณ์ กรณ์หิรัญ
ทั้ง 3 คน ล้วนเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในธุรกิจคลินิกเสริมความงาม โดยเฉพาะนายแพทย์วุฒิศักดิ์ เคยเป็นอดีตพนักงานของนิติพลคลินิก หนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของตลาดขณะนั้น
ด้วยแนวคิดและสโลแกน “เพราะความสวยรอ…ไม่ได้” ช่วยให้วุฒิศักดิ์คลินิกสามารถสร้างการรับรู้ในตลาดความงามได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังทุ่มงบด้านการตลาดอย่างมหาศาล และการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้ดาราและศิลปินชื่อดังของประเทศไทยมาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่โดดเด่นในยุคนั้น
“วุฒิศักดิ์คลินิก” ในยุคแรกๆ อยู่ภายใต้บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรม จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 20 ส.ค. 2546 ต่อมาแปรสภาพเป็น บริษัท วุฒิศักดิ์ คอสเมติก จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 16 ส.ค. 2550 เลิกกิจการ 9 ส.ค. 2555
ถัดมาจัดตั้ง บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) วันที่ 4 ม.ค. 2553 เลิกกิจการ 9 ส.ค. 2555
- ปี 2553 รายได้ 1,907 ล้านบาท กำไร 106 ล้านบาท
- ปี 2554 รายได้ 2,424 ล้านบาท กำไร 128 ล้านบาท
รูปแบบการบริหารของ 3 หุ้นส่วน

เพื่อบริหารกิจการขนาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง 3 คนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
- หมอวุฒิศักดิ์ รับผิดชอบเรื่องการแพทย์
- คุณณกรณ์ ดูแลด้านการตลาด การเงิน และนวัตกรรม
- คุณพลภัทร รับผิดชอบด้านสถานที่และโลเคชั่น
ระบบทำงานมีลักษณะใกล้เคียงกับ “โรงเรียนการแพทย์ความงาม” มีแพทย์กว่า 100 คน ผ่านการอบรมเข้มข้น และสามารถให้บริการลูกค้าได้วันละหลักร้อยราย ช่วงขยายตัวและรายได้ระดับพันล้าน
ความสำเร็จในช่วงปีทองทำให้วุฒิศักดิ์กลายเป็นผู้นำในตลาดความงามในเมืองไทย
- รายจ่ายต่อเดือนสูงถึง 200 ล้านบาท
- จำนวนลูกค้าต่อวันในแต่ละสาขาหลักร้อยคน
- ใช้ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์มาตรฐานสูงระดับโรงพยาบาลชั้นนำ
บริษัทสามารถสร้างรายได้ระดับพันล้านต่อปี และไม่เคยมีคำว่า “ขาดทุน” ในช่วงที่ยังอยู่ในการบริหารของผู้ก่อตั้งกลุ่มแรก
ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง และการให้บริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้วุฒิศักดิ์คลินิกสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วทั่วประเทศ เคยมีสาขาในประเทศไทยสูงสุดถึง 130 สาขา ขยายสู่ต่างประเทศอีก 11 สาขา ได้แก่ ลาว, กัมพูชา, เมียนมา และเวียดนาม
วุฒิศักดิ์คลินิก สามารถสร้างผลประกอบการที่โดดเด่นในช่วงแรก ภายใต้บริษัท บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด
- ปี 2555 รายได้ 2,896 ล้านบาท กำไร 594 ล้านบาท
- ปี 2556 รายได้ 3,499 ล้านบาท กำไร 414 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จในช่วงขาขึ้นของธุรกิจ ซึ่งทำให้นักลงทุนและกลุ่มทุนขนาดใหญ่เริ่มให้ความสนใจเข้ามาซื้อกิจการ
การขายหุ้นบางส่วน จุดเปลี่ยนครั้งที่ 1
เพื่อกระจายความเสี่ยงและรองรับค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล กลุ่มผู้ก่อตั้งได้ตัดสินใจขายหุ้นบางส่วนให้กับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับ “ซิตี้แบงก์”
- ขายหุ้นประมาณ 30-35% ได้เงินกว่า 3,000 ล้านบาท
- มูลค่าบริษัทในเวลานั้นประเมินสูงถึง 8,000 ล้านบาท
- แม้ยังถือหุ้นอยู่ แต่กลุ่มผู้ก่อตั้งเริ่มลดบทบาทในการบริหารลง
การเปลี่ยนมือสู่ EFORLจุดเปลี่ยนครั้งที่ 2
หลังจากกลุ่มทุนต่างชาติถอนตัว ในปี 2557 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอ็ม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ได้เข้าซื้อกิจการวุฒิศักดิ์คลินิก ด้วยมูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท โดยถือหุ้น 51% มีเป้าหมายเพื่อขยายสู่ธุรกิจความงามที่มีศักยภาพสูง และเสริมพอร์ตธุรกิจของ EFORL ที่เป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์อยู่เดิม
อย่างไรก็ตาม EFORL ไม่ได้มีเงินทุนมากพอสำหรับการซื้อกิจการดังกล่าว ทำให้ต้องกู้เงินจากธนาคารกว่า 3,000 ล้านบาท และใช้บริษัทลูกชื่อ WCIH ในการถือหุ้นในวุฒิศักดิ์
คุณณกรณ์เข้ามาบริหารอีกครั้งในช่วงปีแรกหลังเปลี่ยนมือ
- สร้างยอดขายเพิ่มจาก 70 ล้านบาท เป็น 140 ล้านบาท ภายในปีเดียว
- เตรียมแผนนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์
- ใช้พรีเซนเตอร์ระดับชาติ เช่น เจมส์จิรายุ, หนูแหม่ม, กบ ปภัสรา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน คุณณกรณ์ถูกถอดจากการบริหารอีกครั้ง ทำให้กิจการเปลี่ยนมือผู้บริหารอีกครั้ง
ปัญหาภายในและการบริหารผิดทาง

หลังเปลี่ยนทีมบริหาร ปัญหาหลายอย่างเริ่มปรากฏอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
1.ลดจำนวนแพทย์อย่างรวดเร็ว
มีการลดจำนวนหมอลงถึง 30 คน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและคุณภาพบริการลูกค้า ต่อมาต้องรับหมอใหม่กลับเข้ามา พร้อมเพิ่มเงินเดือน 20% ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
2.การขายแฟรนไชส์ผิดที่ผิดเวลา
สาขาที่ทำรายได้ดีถูกขายออกไป ขณะที่บริษัทเก็บไว้สาขาที่ขาดทุนไว้ ส่งผลให้กระแสเงินสดหาย รายได้ลด แต่ต้นทุนยังสูง
3.นโยบายการทำตลาดไม่ชัดเจน
เปลี่ยนแนวทางการสื่อสารและกลุ่มเป้าหมายเร็วเกินไป เช่น การเปลี่ยนจากพรีเซนเตอร์ดาราที่มีชื่อเสียงไปเป็นกลุ่มวัยรุ่น
4.ต้นทุนจากการใช้เวชภัณฑ์สูง
วุฒิศักดิ์ยังคงใช้ยาและอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานสูง ขณะที่คู่แข่งรายเล็กใช้ยาราคาถูก ทำให้ต้นทุนสูง ไม่สามารถแข่งขันราคาได้
ความเสียหายและการถอนตัว
คุณณกรณ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งวุฒิศักดิ์คลินิก ยอมรับว่าเขาได้รับความเสียหายจากการถือหุ้นและลงทุนรวมแล้วกว่า 800–900 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทประสบกับปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่อง
เมื่อเห็นทิศทางการบริหารธุรกิจไม่สอดคล้องกับแนวทางบริหารเดิม จึงตัดสินใจลาออกและถอนตัวจากธุรกิจ แม้เขาจะเหลือถือหุ้นเพียงประมาณ 10% แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ อีก
ภาพทรงจำของคนไทยก็คือ “คุณณกรณ์ เป็นเจ้าของวุฒิศักดิ์” ทั้งที่ตัวเขาออกไปแล้ว คนส่วนใหญ่ยังคิดว่าเขาคือเจ้าของในช่วงที่วุฒิศักดิ์ขาดทุน ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียหายมาก
ธุรกิจถดถอยและขาดทุนต่อเนื่อง

แม้จะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทมหาชน แต่ผลประกอบการของวุฒิศักดิ์คลินิกกลับลดลงอย่างต่อเนื่องหลังการเข้าซื้อกิจการ โดยตั้งแต่ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ที่จัดตั้งเมื่อ 23 ก.พ. 2555 ด้วยเงินทุน 1,533,950 บาท
ผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คือ หมอวุฒิศักดิ์, คุณณกรณ์ และ คุณพลภัทร ไม่ได้มีรายชื่อเป็นกรรมการบริษัท แต่มีคณะกรรมการบริษัทใหม่ประกอบด้วย นายอนันตพงษ์ เทพช่วยสุข นายสุพจน์ อาวาส และนายอำนาจ บูจีระ
แต่ปัจจุบันจากการตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เหลืองเพียง นายอำนาจ บูจีระ เป็นกรรมการบริษัท
- ปี 2557 รายได้ 2,922 ล้านบาท กำไร 71 ล้านบาท
- ปี 2558 รายได้ 2,584 ล้านบาท กำไร 150 ล้านบาท
- ปี 2559 รายได้ 1,623 ล้านบาท ขาดทุน -528 ล้านบาท
- ปี 2560 รายได้ 481 ล้านบาท ขาดทุน -665 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 2559 บริษัทเข้าสู่ภาวะขาดทุนอย่างชัดเจน จากหลายปัจจัย ทั้งการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และการบริหารภายในที่มีข้อจำกัด
- ในปี 2561-2562 สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง โดยขาดทุนรวมกว่า 1,170 ล้านบาท
- ปี 2561 รายได้ 535 ล้านบาท ขาดทุน 112 ล้านบาท
- ปี 2562 รายได้ 173 ล้านบาท ขาดทุน 1,058 ล้านบาท
การยื่นฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง
เมื่อสถานการณ์ทางการเงินถึงจุดวิกฤติ ในวันที่ 27 เมษายน 2563 บริษัท วุฒิศักดิ์ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยระบุว่าบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ยังมีโอกาสและความสามารถในการฟื้นฟูกิจการ
ศาลได้กำหนด ไต่สวนคำร้องในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นข่าวที่สร้างความตกตะลึงให้กับวงการคลินิกความงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิติพลคลินิก ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ กลายเป็นผู้รอดในขณะที่วุฒิศักดิ์ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
“วิชัย ทองแตง” กับความพยายามยื้อ
ในปี 2561 บริษัท EFORL ได้เพิ่มทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง โดยมี นายวิชัย ทองแตง นักลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจสุขภาพ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 22.68% พร้อมทีมบริหารชุดใหม่ที่พยายามพลิกฟื้นธุรกิจความงาม
ความพยายามเหล่านั้นรวมถึง
- ขยายสาขาและเปิดแฟรนไชส์
- เพิ่มไลน์สินค้า เช่น เครื่องสำอาง
- ขยายช่องทางออนไลน์
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์เหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งการถดถอยของธุรกิจได้ และภายในปี 2562 ธุรกิจความงามกลายเป็นเพียง 9.6% ของรายได้รวมของบริษัท และยังมีขาดทุนขั้นต้นกว่า 43 ล้านบาท
สุดท้าย EFORL ตัดสินใจถอนตัวจากธุรกิจความงาม โดยประกาศขายหุ้นทั้งหมดของ WCIH (บริษัทแม่ของวุฒิศักดิ์คลินิก) แลกกับที่ดิน เพื่อกลับไปโฟกัสกับธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก
“วุฒิศักดิ์ – นิติพล คลินิก” คู่แข่งที่ยังมีลมหายใจ

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (ยังดำเนินกิจการอยู่) สำนักงานใหญ่ตั้งอยี่ที่ 120 หมู่ที่ 2 ต.บางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มีนายอำนาจ บูจีระ มีรายชื่อเป็นกรรมการบริษัท
ส่วนบริษัท นิติพล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (ยังดำเนินกิจการอยู่) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 61 ซอยลาดพร้าว 115 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
พบว่าผลประกอบการช่วงปี 2563-2567 ดังนี้
- ปี 2563 รายได้ 1,241 ล้านบาท กำไร 45 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 1,018 ล้านบาท ขาดทุน -1.3 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 1,374 ล้านบาท กำไร 107 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 1,284 ล้านบาท ขาดทุน -10 ล้านบาท
- ปี 2567 รายได้ 1,218 ล้านบาท ขาดทุน – 68 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าแม้จะมีรายได้ “นิติพลคลินิก” ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอเฉลี่ยกว่า 1,200 ล้านบาทต่อปี แต่กำไรสุทธิเริ่มลดลงและกลับเข้าสู่ภาวะขาดทุนในช่วงปี 2566–2567 ซึ่งอาจสะท้อนถึง
- ต้นทุนที่สูงขึ้น
- การแข่งขันที่รุนแรง
- การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
- ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่กระทบต่อการใช้จ่ายในสินค้าและบริการไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม การที่รายได้ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางตลาด และความนิยมของแบรนด์นิติพล โดยปัจจุบันมีสาขาราวๆ 130 แห่งทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เปิดบริการตามห้างสรรพสินค้า
ส่วน “วุฒิศักดิ์คลินิก” เคยเป็นผู้นำตลาดในช่วงปี 2550–2560 โดยมีสาขากว่า 130 แห่งทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้สูงสุดและเคยขายหุ้นให้กลุ่มนักลงทุนต่างชาติด้วยมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท
ในปี 2563 วุฒิศักดิ์คลินิกมีสาขาเหลืออยู่เพียง 19 สาขา ส่วนปัจจุบันจากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ https://salehere.co.th/wuttisak-clinic/branches วุฒิศักดิ์คลินิก เหลือสาขาเพียง 7 สาขาเท่านั้น
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและผู้บริหารหลายรอบ ทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในกลยุทธ์ธุรกิจ ความคลาดเคลื่อนในการควบคุมคุณภาพ รวมถึงการตัดสินใจทางการเงินที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาด
ส่งผลในช่วงหลังบริษัทประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่อง และเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
บทเรียนจากกรณี “วุฒิศักดิ์คลินิก”

บทเรียนที่สามารถถอดได้จากกรณีนี้ ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งเชิงกลยุทธ์ การบริหาร การเงิน และความเข้าใจในตลาด
1. การขยายกิจการอย่างรวดเร็ว โดยขาดแผนระยะยาว
แม้การขยายตัวอย่างรวดเร็วจะสะท้อนถึงความสำเร็จในช่วงต้น แต่หากไม่มีแผนการรองรับในระยะยาว ก็อาจสร้างปัญหาในภายหลัง เช่น
- การเปิดสาขาจำนวนมากเกินความสามารถในการบริหาร
- ต้นทุนดำเนินการที่สูงขึ้นต่อเนื่อง เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างแพทย์ และค่าโฆษณา
- การเร่งเติบโตโดยใช้ภาพลักษณ์ มากกว่าผลกำไรที่ยั่งยืน
ในกรณีวุฒิศักดิ์ มีรายจ่ายประจำเดือนสูงถึง 200 ล้านบาท ในขณะที่ต้องรักษาคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งกลายเป็นภาระหนักหากรายได้ไม่เติบโตสอดคล้องกัน
2. ขาดความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดความงามมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น
- ความนิยมจาก “การดูแลผิว” เปลี่ยนไปสู่ “การศัลยกรรม” หรือบริการเฉพาะทาง
- ลูกค้าหันไปหาคลินิกเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น
- ความคาดหวังของลูกค้าเปลี่ยนจาก “ชื่อแบรนด์” เป็น “ผลลัพธ์” และ “ประสบการณ์ส่วนบุคคล”
วุฒิศักดิ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านไม่สามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ทัน ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดถูกกระจายไปยังผู้เล่นรายใหม่ที่ปรับตัวได้เร็วกว่า
3. กู้เงินซื้อกิจการ ไม่เชี่ยวชาญธุรกิจการแพทย์
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของวุฒิศักดิ์ คือการที่นักลงทุนรายใหม่เข้ามาซื้อกิจการด้วยมูลค่าหลายพันล้านบาท ผ่านการกู้เงินโดยมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนระยะสั้น
แต่เมื่อผู้บริหารใหม่ไม่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจบริการทางการแพทย์ ซึ่งต้องอาศัยบุคลากร ความสัมพันธ์กับลูกค้า และความเข้าใจเชิงลึก จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมต้นทุนและรักษารายได้ได้อย่างที่คาดหวัง ผลที่ตามมาคือยอดขายลดลง ต้นทุนสูงขึ้น และเกิดการขาดทุนสะสมในเวลาอันรวดเร็ว
4. ระบบแฟรนไชส์ที่ไม่แข็งแรง
แม้ว่าระบบแฟรนไชส์จะเป็นเครื่องมือช่วยขยายสาขาได้รวดเร็ว แต่หากไม่มีการควบคุมคุณภาพ และไม่มีระบบสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง จะกลายเป็นช่องโหว่สำคัญของแบรนด์ ในกรณีนี้
สาขาที่มีรายได้ดีถูกขายออกไปเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระยะสั้น
สาขาที่เหลืออยู่กลับเป็นสาขาที่มีปัญหาด้านทำเลหรือขาดกำไร
การควบคุมคุณภาพของบริการไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ภาพลักษณ์แบรนด์เสียหาย
5. เปลี่ยนมือผู้บริหารโดยไม่เข้าใจบริบทของธุรกิจเดิม
ธุรกิจบริการทางการแพทย์ไม่สามารถบริหารแบบโรงงานอุตสาหกรรม หรือธุรกิจเชิงตัวเลขทั่วไปได้ เพราะขึ้นอยู่กับคนและประสบการณ์เป็นหลัก เช่น
- แพทย์ที่มีความสัมพันธ์กับลูกค้า
- ทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทาง
- กระบวนการควบคุมคุณภาพอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
การเปลี่ยนมือผู้บริหารใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานในธุรกิจนี้ ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนที่ผิดพลาด เช่น การลดจำนวนแพทย์อย่างรวดเร็ว การเน้นผลกำไรมากกว่าคุณภาพ ส่งผลให้เกิดภาวะสูญเสียความเชื่อมั่น ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
สรุป ธุรกิจที่เติบโตเร็วอาจไม่ยั่งยืน หากขาดรากฐานที่มั่นคง อย่างกรณี “วุฒิศักดิ์คลินิก” ถือเป็นบทเรียนที่เห็นได้ชัดเจนว่า ความสำเร็จในอดีต ไม่สามารถรับประกันอนาคตของธุรกิจในระยะยาวได้ การเติบโตควรอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในอุตสาหกรรม การวางแผนธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญภาพลักษณ์ของแบรนด์ต้องสอดคล้องกับคุณภาพของการให้บริการจริงๆ
และท้ายที่สุด การมีทีมงานด้านการบริหารที่เข้าใจแก่นของธุรกิจ ย่อมมีความสำคัญมากกว่าเม็ดเงินในการลงทุนซื้อกิจการ
แหล่งข้อมูล
- https://citly.me/Gj3gM
- https://citly.me/m2sRx
- https://citly.me/fF4e5
- https://citly.me/xBkNL
- https://citly.me/PuJVa
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)






 
							 
							