ร้านทุกอย่าง 20 บาท ยุคนี้ ไปต่อไหวมั้ย?

ย้อนไปสักประมาณ 10 กว่าปีก่อน “ร้านสินค้าราคาเดียว” (One-Price Shop) เป็นที่พูดถึงมาก เรียกว่าตอนนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูก็ว่าได้ โดย Daiso เป็นเจ้าแรกๆที่เริ่มธุรกิจนี้ในปี 2546 จากนั้นธุรกิจก็เริ่มเติบโตมาเป็นลำดับ และเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น

เช่น Komonoya, Just Buy, Miniso และ Moshi Moshi รวมถึงอีกหลากหลายแบรนด์ทั้งที่เป็นรายเล็กและรายใหญ่ ซึ่งก็มีการพัฒนาทั้งขยายสาขาเองหรือบางแบรนด์ก็สร้างระบบแฟรนไชส์เพื่อขยายสาขาเพิ่มขึ้น

แต่ในความเป็นจริงคำว่า ร้านทุกอย่าง 20 บาท บางทีก็เป็นแค่กลยุทธ์ทางตลาด เดินเข้าไปในร้านบางทีก็เจอสินค้าที่ราคาแพงกว่านั้น คำว่า 10 , 20 หรือ 60 บางทีก็เป็นแค่ราคาสินค้าเริ่มต้น อย่างไรก็ดีสิ่งที่ยังเป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจนี้คือสินค้าในร้านมีราคาประหยัดกว่าถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ รวมถึงการมีสินค้าให้เลือกเยอะมาก

หัวใจของธุรกิจแนวนี้คือใช้กลยุทธ์ “กำไรน้อย แต่ขายเยอะ” ถ้าลองไปวิเคราะห์ดูว่าทำไมธุรกิจนี้ถึงเติบโตจะพบว่ามีหลายเคล็ดลับที่น่าสนใจ เช่น

1. เล่นกับอารมณ์คนซื้อ โดยใข้ราคาเป็นตัวนำ เพราะพฤติกรรมลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ซื้อสินค้าอย่างเดียวแต่จะเลือกซื้อหลายอย่างยิ่งเห็นว่าราคาไม่แพงก็ยิ่งซื้อมากขึ้น

2.ใช้เทคนิคการคำนวณต้นทุนเฉลี่ย ยอมขาดทุนในสินค้าบางรายการเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้านและหวังขายสินค้าตัวอื่นได้มากขึ้น

3. จัดหมวดหมู่สินค้าให้เลือกง่าย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในการแยกหมวดหมู่เช่นเครื่องมือช่าง , ของเล่น , เครื่องเขียน , อุปกรณ์ครัว , ของตกแต่งบ้าน เป็นต้น

4.การบริหารสต็อคสินค้าอย่างมีระบบ มีการหมุนเวียนสินค้าที่รวดเร็ว มีความถี่สูง จัดหาสินค้าตามกระแสที่คนกำลังต้องการได้อย่างทันที

จากข้อมูลพบว่าร้านสินค้าราคาประหยัดเหล่านี้ต่อสาขาต่อเดือนมียอดลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 คน มีการใช้จ่ายต่อบิลไม่ต่ำกว่าครั้งละ 200 บาท นั่นหมายความว่ายังถือเป็นธุรกิจที่น่าพอใจและยังเติบโตได้

ร้านทุกอย่าง 20 บาท

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจซบเซาหนัก ต้นทุนสินค้าพุ่งสูง กำลังซื้อของคนลดลงชัดเจน ถามว่าปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มีผลต่อธุรกิจเหล่านี้มากแค่ไหน ไปดูผลสำรวจที่น่าตกใจระบุว่า

  • ร้อยละ 51.01 ต้องใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือนและต้องระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น
  • ร้อยละ 82.94 บอกว่าทุกวันนี้ค่าครองชีพสูงไม่กล้าใช้สอย เครียดปัญหาหนี้สิน
  • ร้อยละ 33.62 ช็อปปิ้งน้อยลง ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น
  • ร้อยละ 15.23 เน้นการเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนเลือกซื้อ

แม้แต่ผู้ประกอบการเองก็รู้ดีว่าคนส่วนใหญ่ลำพังแค่เงินเดือนก็หมดไปกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ค่าเช่าเช่าบ้าน , ค่าเดินทางไปทำงาน , ค่าน้ำค่าไฟ , ค่าเทอม ฯลฯ

ถ้าไม่ระมัดระวังการใช้จ่ายก็จะพาตัวเองและครอบครัวไปเจอวิกฤติการเงินตัวเลขเหล่านี้จึงสะท้อนให้เห็นภาพรวมชัดเจนว่าธุรกิจก็ต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค แม้จะเป็นร้านสินค้าราคาประหยัด ถ้ายังอยากอยู่รอดต่อไปก็ต้องมีอะไรที่ดึงดูดลูกค้าได้

คำว่า “จะไปต่อไหวมั้ย” ของร้านสินค้าราคาประหยัด ปัญหาจึงอยู่ที่การบริหารจัดการของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ

ยกตัวอย่างบางร้านที่บอกว่าไปต่อไม่ไหว เพราะบอกว่าลงทุนไปหลักล้าน หวังว่าจะขายดี ตั้งใจจะขายทั้งหน้าร้าน ขายปลีก ขายส่งไปพร้อมกัน แต่ดันไม่เป็นอย่างที่คิด ขายได้เฉลี่ยแค่วันละ 500 – 1,000 มีบ้างที่ยอดขายถึง 2,000 แต่ก็ไม่ใช่ทุกวัน มาเจอกับค่าเช่าที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ และจิปาถะหักลบกลบหนี้คือทุนหายกำไรหด ไปต่อไม่ไหว

ถ้าลองเอาตัวเลขของร้านสินค้าราคาประหยัดมาวิเคราะห์ ถ้าจะให้ไปไหว ร้านก็ควรจะมีต้นทุนประมาณ 15-25% ของยอดขาย ต้นทุนสินค้าเฉลี่ยประมาณ 13-17 บาท (ในกรณีขายสินค้าราคา 20 บาท) ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่า ค่าแรง ไม่ควรเกิน 30-40% ของยอดขาย ถ้าบริหารจัดการได้ดีทำให้ร้านมีกำไรเฉลี่ย 25-30% ก็จะเป็นธุรกิจที่ไปต่อได้

ถ้าเทียบเป็นตัวเลขให้ชัดๆ รายได้ที่พอไหวให้อยู่รอดของร้านสินค้าราคาประหยัด (ร้านขนาดเล็ก) ควรมียอดขายประมาณ 3,000 – 4,000 บาท ซึ่งถ้ายอดขายน้อยกว่านี้อาจมีความเสี่ยงที่จะไปต่อไม่ไหวในอนาคต

คำว่าระบบบริหารจัดการที่ดีคือหัวใจของร้านสินค้าราคาประหยัด ดูได้จากร้านประเภทนี้ที่เป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ยังมีอัตราการเติบโตและยอดขายดีมาก ยกตัวอย่าง MR. D.I.Y. ที่สินค้าในร้านก็มีหลายราคาแต่เน้นความประหยัด หาซื้อสินค้าได้ง่าย

ปี 2566 มีรายได้ 12,832 ล้านบาท กำไร 1,381 ล้านบาท ครึ่งปี 2567 มีรายได้ 7,567 ล้านบาท กำไร 794 ล้านบาท

ทุก ๆ ยอดขาย 100 บาท หักต้นทุนขาย อย่างเช่น ค่าใช้จ่ายวัตถุดิบ ค่าขนส่งสินค้า เหลือเป็นกำไรขั้นต้น 48 บาท

และกำไรขั้นต้น 48 บาทหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าที่ และค่าการตลาด เหลือเป็นกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 16 บาท หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างดอกเบี้ย และภาษีเงินได้แล้ว จะเหลือกำไรประมาณ 11 บาท

และอีกหลายร้านค้าในธุรกิจประเภทนี้ที่ยังเติบโตได้เพราะมีวิธีบริหารจัดการที่ดี อย่างร้าน Daiso ในปีที่ผ่านมาทำรายได้ 853 ล้านบาท กำไร 25 ล้านบาท หรือ MINISO ทำรายได้ที่ 1,158 ล้านบาท กำไร 35 ล้านบาท เป็นต้น

ส่วนในมุมของร้านขนาดเล็กเองถ้าหวังจะอยู่รอดไม่ใช่แค่ขึ้นป้ายว่า “ทุกอย่าง 20” แล้วจะรอด นอกจากการบริหารต้นทุนที่ดี เรื่องของการจัดวางสินค้าในร้านก็สำคัญ ข้อแนะนำคือต้องเน้นขายทุกอย่าง มีทุกราคา ทั้งเกรด A เกรด B เกรด C เน้นความหลากหลายเพื่อเอาใจลูกค้าให้มากที่สุด

เป็นร้านค้าที่อยู่ในทำเลไหนก็ควรมีสินค้าที่เหมาะสมกับทำเลนั้น เช่น หน้าโรงเรียนก็ต้องเน้นพวกอุปกรณ์การเขียน ให้เยอะ หรืออยู่ในท้องถิ่นที่มีการเกษตรก็ควรมีอุปกรณ์การเกษตรขายในร้าน สินค้าในร้านไม่เน้นเยอะ แต่เน้นครบ อะไรที่ยังไม่มีต้องรีบหามาขาย วิธีการจัดวางก็สำคัญอย่าทำให้ร้านดูโล่งเพราะจะไม่น่าสนใจ

วิธีวางสินค้า จัดวางเชลล์ขายของต้องให้ลูกค้ารู้สึกอยากเดินเข้ามาในร้าน ถ้าเดินเข้ามาแล้วสินค้าต้องติดมือออกไปสัก 1-2 ชิ้น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าพอใจสำหรับการขายของร้านสินค้าราคาประหยัดที่มีขนาดเล็ก

และที่อย่าลืมเด็ดขาดคือร้านสินค้าราคาประหยัดอย่าไปคิดแข่งสงครามราคาเด็ดขาด เพราะราคาสินค้ามันก็ถูกอยู่แล้ว ถ้าไปตัดราคาคู่แข่ง ผู้ประกอบการจะไม่ได้ประโยชน์อะไร

แม้ยอดขายจะเพิ่มแต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นแน่ ดังนั้นวัดกันที่คุณภาพสินค้า + การบริหารจัดการ+ จัดร้านแต่งร้าน บางร้านอาจเพิ่มการขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ร่วมด้วยจะเป็นวิธีอยู่รอดของร้านสินค้าราคาประหยัดที่ถูกต้องมั่นคงได้แท้จริง

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด