เจาะลึกจัดฟันใส Invisalign มีกี่แบบ? เลือกอย่างไรให้เหมาะกับคุณ
ในโลกของการทำงานที่ภาพลักษณ์และความมั่นใจเป็นประตูสู่โอกาส แต่หลายคนกลับลังเลที่จะจัดฟันเพราะกังวลเรื่องเครื่องมือโลหะที่อาจบั่นทอนบุคลิกภาพ ด้วยเหตุนี้ นวัตกรรมจัดฟันใสอย่าง Invisalign จึงกลายเป็นทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการปรับรอยยิ้มโดยไม่กระทบต่อการใช้ชีวิต บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกว่า Invisalign มีกี่ประเภท และแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ
จัดฟันใส Invisalign คืออะไร?
จัดฟันใส Invisalign คือเทคโนโลยีการจัดฟันรูปแบบใหม่จากสหรัฐอเมริกา ที่ใช้ชุดเครื่องมือจัดฟันใสชนิดถอดได้ซึ่งผลิตขึ้นเฉพาะบุคคล เรียกว่า “Aligners” โดย Aligners แต่ละชิ้นจะถูกออกแบบผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 3 มิติ (ClinCheck®) เพื่อค่อยๆ เคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่ต้องการอย่างนุ่มนวล
จัดฟันใส Invisalign มีกี่ประเภท? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับปัญหาฟันของคุณ

Invisalign ถูกออกแบบมาเป็นแพ็กเกจที่หลากหลาย เพื่อให้ตอบโจทย์การรักษาตั้งแต่เคสที่ไม่ซับซ้อนไปจนถึงเคสที่มีความท้าทายสูง ทำให้การรักษามีความเฉพาะเจาะจงและคุ้มค่า
1. Invisalign First Comprehensive Package
แพ็กเกจนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการจัดฟันในเด็กโดยเฉพาะ (อายุประมาณ 6-10 ปี) ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีฟันผสม (ทั้งฟันน้ำนมและฟันแท้) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและขากรรไกรตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อสร้างพื้นที่ให้ฟันแท้ขึ้นมาได้อย่างเหมาะสม และลดความซับซ้อนของการจัดฟันในอนาคต
2. Invisalign System Comprehensive Phase 2 Package
เป็นแพ็กเกจต่อเนื่องสำหรับวัยรุ่น (อายุไม่เกิน 19 ปี) ที่มีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว หรือสำหรับวัยรุ่นที่เคยผ่านการจัดฟันแบบ Invisalign First มาก่อน การรักษาระยะที่สองนี้จะมุ่งเน้นไปที่การจัดเรียงฟันแท้ทั้งหมดให้เข้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ
3. Express Package
เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการแก้ไขปัญหาฟันเพียงเล็กน้อย เช่น ฟันห่างหรือฟันซ้อนเกเพียงเล็กน้อย หรือในเคสที่เคยจัดฟันมาแล้วแต่ฟันเคลื่อนกลับ (Relapse) เล็กน้อย เป็นแพ็กเกจที่ใช้จำนวน Aligners น้อยและใช้ระยะเวลาในการรักษาสั้นที่สุด
4. Lite Package
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเคสที่ไม่ซับซ้อน แต่มีปัญหามากกว่าแบบ Express เล็กน้อย เช่น ฟันซ้อนเกหรือฟันห่างในระดับที่ไม่มากนัก หรือผู้ที่ต้องการแก้ไขความสวยงามของฟันหน้าเป็นหลัก
5. Moderate Package
นี่คือแพ็กเกจที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันซับซ้อนในระดับปานกลาง เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง หรือฟันสบคร่อมที่ไม่รุนแรงมากนัก เป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างระยะเวลาและขอบเขตการรักษา
6. Comprehensive Package
แพ็กเกจที่ครอบคลุมการรักษามากที่สุด สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเคสที่มีความซับซ้อนสูง เช่น ฟันซ้อนเกรุนแรง ฟันยื่นมาก หรือปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ โดยแพ็กเกจนี้จะให้อายุการรักษายาวนานถึง 5 ปี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเหมาะกับการจัดฟันใสแบบไหน?

การประเมินปัญหาฟันด้วยตนเองอาจให้ข้อมูลได้เพียงเบื้องต้น แต่การเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมควรได้รับการวินิจฉัยโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยข้อมูลจาก Teeth Talk Dental Clinic ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ทันตแพทย์จะใช้เทคโนโลยีสแกนฟัน 3 มิติ iTero® ร่วมกับซอฟต์แวร์ ClinCheck® เพื่อวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ ทำให้คนไข้สามารถเห็นภาพผลลัพธ์สุดท้ายได้ล่วงหน้า และช่วยให้เลือกแพ็กเกจ Invisalign ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดได้
ข้อดีของการจัดฟันใส?
- ความสวยงาม: เครื่องมือมีความใสจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น ทำให้คุณยิ้มและใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจเต็มร้อย ไม่กระทบต่อบุคลิกภาพ
- สะดวกสบาย: สามารถถอดออกได้ง่ายเมื่อรับประทานอาหารหรือแปรงฟัน หมดกังวลเรื่องเศษอาหารติดเครื่องมือและช่วยให้รักษาสุขภาพช่องปากได้ดีเยี่ยม
- เห็นภาพผลลัพธ์ล่วงหน้า: ด้วยเทคโนโลยี ClinCheck® ทำให้คุณสามารถเห็นแผนการรักษาและผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มจัดฟัน สร้างความมั่นใจตลอดกระบวนการ
- ระคายเคืองน้อย: ไม่มีเหล็กหรือลวดมาเกี่ยวหรือทิ่มกระพุ้งแก้ม ทำให้เกิดความระคายเคืองในช่องปากน้อยกว่าการจัดฟันแบบโลหะมาก
สรุป ปลดล็อกรอยยิ้มที่ดีที่สุดในแบบฉบับของคุณ
การจัดฟันใส Invisalign สามารถมอบทางเลือกที่หลากหลายเพื่อแก้ไขปัญหาฟันที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เคสเล็กน้อยไปจนถึงเคสที่ซับซ้อน การเลือกแพ็กเกจที่ “ใช่” คือการลงทุนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับสภาพฟันของตนเองมากที่สุด โดยมีทันตแพทย์ผู้ชำนาญการเป็นผู้วินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการเดินทางสู่รอยยิ้มใหม่ของคุณนั้น จะนำมาซึ่งความสวยงาม ความมั่นใจ และสุขภาพช่องปากที่ดีอย่างยั่งยืน


