ธุรกิจแบบ “K-shaped” รายใหญ่โตไว รายเล็กตายเรียบ

ปัญหาใหญ่สุดในตอนนี้คือภาวะเศรษฐกิจที่ดูจะยังไม่ฟื้นตัว การลงทุนทางธุรกิจกลายเป็นความเสี่ยงที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสคืนทุนได้เร็วแค่ไหน? โดยเฉพาะกับบรรดา SMEs ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าพวกยักษ์ใหญ่เพราะโอกาสเสี่ยงเจ๊ง มีสูงกว่ามาก นักวิเคราะห์การตลาดมองว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันคือการเติบโตแบบ “K-shaped”

“K-shaped” การฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ

ธุรกิจแบบ “K-shaped”

คำว่า ” K-shaped ” มาจากรูปร่างของตัวอักษร K ที่มีเส้นล่างยาวขึ้น หมายถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเส้นบนสั้นลง ที่หมายถึงธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือ SME ที่กำลังดิ้นรนและล้มละลาย ในประเทศไทยแน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้ชัดเจนมาก

โดยบริษัทรายใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมหลักอย่างค้าปลีก การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี กำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ SME ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย ที่คิดเป็น 99% ของธุรกิจทั้งหมดและมีการจ้างงานกว่า 80% ของแรงงาน กำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพคล่องและการแข่งขันที่รุนแรง

และตอนนี้ K-shape ที่ว่านั้นกำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพราะธุรกิจขนาดใหญ่ Top 1% มีรายได้เติบโตต่อเนื่องและมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 76% ของรายได้รวมในภาคธุรกิจ

และยิ่งนานวัน ตัวเลขเปิดปิดกิจการของ SMEs ยิ่งน่าเป็นห่วง ข้อมูลน่าสนใจระบุว่าเพียง 2 เดือนแรกของปี 2025 ที่ผ่านมาพบว่า ธุรกิจเปิดใหม่หดตัว 5.1% แต่ธุรกิจปิดกิจการเพิ่มขึ้น 16.9% สอดคล้องกับจำนวนการเปิดโรงงานที่ลดลง 4 ปีติดต่อกันตั้งแต่เกิดโควิด ขณะที่จำนวนโรงงานปิดตัวลงมากขึ้นเกือบ 2 เท่าเทียบกับปี 2020 ที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด

ธุรกิจใหญ่โตไว ธุรกิจรายเล็ก ตายเรียบ?

ธุรกิจแบบ “K-shaped”

หากวิเคราะห์ว่าอะไรคือความต่างของ ธุรกิจใหญ่โตไว แต่ทำไมรายเล็กถึงตายเรียบ จะพบคำตอบง่ายๆ คือธุรกิจใหญ่มี “เกราะป้องกัน 4 ชั้น” ที่รายย่อยไม่มีได้แก่ เงินทุน + ข้อมูล + เทคโนโลยี + อำนาจต่อรอง ถ้าดูข้อมูลเปรียบเทียบจะยิ่งเห็นชัด

ธุรกิจรายใหญ่

  • โอกาสเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 0.5 – 2% ต่อปี
  • มีเงินสดสำรองมากกว่า 6 – 12 เดือน
  • มี Big Data รู้พฤติกรรมลูกค้าก่อนคู่แข่ง
  • มีความสามารด้านเทคโนโลยี เข่น Cloud, ERP, Automation, Generative AI ช่วยลดต้นทุน 20–40% ต่อปี
  • มีอำนาจต่อรอง โรงงานจีน/เวียดนาม หรือในประเทศอื่นๆ ช่วยลดต้นทุนได้กว่า 30%
  • อำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่มีโอกาสได้ส่วนลดวัตถุดิบ 20 – 30%

ธุรกิจรายย่อย (SMEs)

  • ได้ดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่แพงกว่า ประมาณ 7 – 12% ต่อปี
  • ไม่สามารถระดมทุนได้เหมือนธุรกิจขนาดใหญ่
  • ต้องใช้เงินทุนส่วนตัวหรือจากการกู้ยืมในการเริ่มธุรกิจเบื้องต้นประมาณ 1-3 ล้านบาท
  • เงินทุนสำรองน้อยกว่า 3 เดือน
  • ไม่สามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่ใช้แค่โซเชี่ยลเป็นช่องทางการตลาด คาดเดาความต้องการลูกค้าได้ยาก
  • โอกาสขยายสาขาเพิ่มจาก 1 เป็น 2 ค่อนข้างยาก
  • ไม่มีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ ต้นทุนวัตถุดิบสูง
  • ต้องผลิตสินค้าสู้กับตลาดต่างประเทศหรือบริษัทใหญ่ที่ต้นทุนถูกกว่า

ตัวเลขรายได้ที่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่าง

เพื่อให้ชัดเจนมากขึ้นต้องดูข้อมูลรายได้เป็นส่วนประกอบ ยกตัวอย่าง บริษัทในกลุ่มพลังงานและเทคโนโลยีอย่าง PTT และ AIS มีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 20-25% เมื่อเทียบปีต่อปี

ขณะที่รายได้รวมของบริษัทใหญ่ 50 แห่ง สูงถึง 12 ล้านล้านบาทเพิ่มจากปีก่อน 18% สวนทางกลับ SMEs ซึ่งมีถึง 45% ที่ยอดขายลดลงกว่า 20% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 และ 30% กำลังเผชิญหนี้ค้างชำระที่เกิน 6 เดือน

หรือไปดูในอุตสาหกรรมอาหารก็ยิ่งชัดเจนว่าแบรนด์ใหญ่มีอัตรารอดสูงกว่าแบรนด์เล็กเนื่องจากเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งกว่า ขณะที่รายเล็กต้องเผชิญ “กับดักต้นทุนและแข่งขัน” หนักหน่วง ส่งผลให้ มากกว่า 600,000 ร้านปิดตัวใน 3 ปีที่ผ่านมา

และอีกกว่า 60% ของร้านเปิดใหม่ล้มเหลวในปีแรก ตัวเลขของธุรกิจนี้ถ้าเทียบระหว่างรายใหญ่กับรายเล็กก็ยิ่งเห็นความต่างที่กลายเป็นตัวกำหนดความอยู่รอดได้ชัด

  • ร้านอาหารแบรนด์ใหญ่เงินทุนหนากว่า มี Economies of Scale ต่อรองวัตถุดิบได้ราคาถูก 30-50%
  • ร้านอาหารแบรนด์ใหญ่มีเงินทุนสำรองมากกว่า 12 เดือน ขณะที่รายเล็กกว่า 42% ขาดเงินหมุนเวียน
  • ร้านเล็กไม่มีเงินสู้ในเรื่องค่าเช่า ร้านค้าใหญ่ในห้างอัตรารอดสูงกว่า 22%
  • ร้านขนาดใหญ่ใช้ AI ลดต้นทุน 20% เช่น personalization จาก Big Data
  • ร้านเล็กยังต้องพึ่งพา Excel/Facebook/Line ทำให้ต้นทุนในการหาลูกค้าสูงกว่า

“รายได้ น้อยกว่ารายจ่าย” ก็ทำให้เกิดธุรกิจแบบ K-shape

อย่างไรก็ตามปัญหาธุรกิจที่เติบโตแบบ K-shaped นี้ไม่ได้เกิดจากระบบบริหารจัดการเพียงอย่างเดียว ในมุมของลูกค้าหรือกำลังซื้อก็มีผลทำให้ร้านขนาดเล็กประสบปัญหาอันเนื่องจาก

1.รายได้ไม่พอรายจ่าย

กว่า 32% ของครัวเรือนไทยที่มีหนี้สินจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ใน 5 ปีข้างหน้า แถมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท ขณะที่อีก 17% จะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน 3-5 ปี ส่วนอีก 26% จะต้องใช้เวลา 1-3 ปี ขณะที่กลุ่มที่ฟื้นใน 1 ปีหรือฟื้นแล้วมีเพียงแค่ 23%

2.ตลาดแรงงานมีแค่ปริมาณ แต่ไม่มีกำลังซื้อ

‘ค่าจ้างเฉลี่ย’ ของลูกจ้างในปี 2024 โตต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด หรือเรียกว่าต่ำกว่าเกือบ 2 เท่า นอกจากนั้น อัตราว่างงานของเด็กจบใหม่ยังเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด รวมถึงแรงงานไทยส่วนใหญ่ มีรายได้เฉลี่ยต่ำและยังมีรายได้ไม่แน่นอนด้วย

3.ปัญหาหนี้ที่ทำให้ต้องชะลอการใช้จ่าย

โดยหนี้เสียในช่วงเดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 9% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าคนไทยจำนวนมากยังมีโอกาสจะสูญเสียความสามารถในการจ่ายหนี้ซึ่งมีผลกระทบต่อการจับจ่ายในภาคธุรกิจด้วย

อย่างไรก็ดีบรรดา SMEs ที่ยังรอดจากภาวะวิกฤติแบบนี้ส่วนใหญ่มักมีกลยุทธ์ในการบริหารที่มีประสิทธิภาพเช่นการเริ่มด้วยเงินทุนน้อยๆแต่ฉลาดในการทำธุรกิจ เน้นการใช้ตลาดออนไลน์ที่เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้กว่า 50%

โดยอาจไม่ต้องมีหน้าร้าน หรือการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที มีการพัฒนาธุรกิจในงบที่จำกัดได้อย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเคล็ดลับสำคัญที่จะพาธุรกิจให้อยู่รอดก้าวพ้นจากการเติบโตแบบ K-shape ได้ 

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด