ถอดรหัส Santa Fe Steak รีแบรนด์แล้วยังเหนื่อย?

ถ้าพูดถึง “ร้านสเต๊ก” ที่คนไทยรู้จักกันดี ชื่อของ Santa Fe Steak ต้องติดอันดับต้นๆ ในใจของใครหลายคนอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะรสชาติคุ้นลิ้น ราคาจับต้องได้ หรือเสิร์ฟในห้างฯ เกือบทุกแห่ง แต่เป็นเพราะ Santa Fe คือหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่ทำให้เมนูอาหาร “สเต๊ก” กลายเป็นอาหารประจำวันที่หลายๆ คนเข้าถึงได้ง่าย

ปี 2568 Santa Fe Steak มีอายุครบ 22 ปีเต็ม ถ้าเปรียบกับคนเรา ก็เหมือนวัยที่เพิ่งผ่านช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความสนุก ความท้าทาย และกำลังจะก้าวสู่บทบาทใหม่ที่ “เอาจริง” ยิ่งกว่าเดิมในตลาดเสต๊กที่มีคู่แข่งมากมายในเมืองไทย ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา Santa Fe ฝ่ามรสุมการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหาร ปรับตัวเพื่อรับมือกับคู่แข่งมานับไม่ถ้วน และยังรอดพ้นจากวิกฤตโควิด-19 ที่เขย่างการธุรกิจร้านอาหารทั่วโลก

วันนี้ Santa Fe Steak ยังคงยืนหยัด พร้อมขยายสาขากว่า 116 แห่งทั่วไทย แต่พวกเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนทุกวัน Santa Fe กำลังรีแบรนด์ปรับเปลี่ยน “โฉมใหม่” เตรียมตัวสู่ “สมรภูมิ” ต่อไป มีการพัฒนาแบรนด์อย่างเข้มข้น ทั้งเรื่องคุณภาพ รสชาติ การบริการ และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

กลยุทธ์และเรื่องราวของ Santa Fe ต่อจากนี้มีความน่าสนใจและน่าติดตามอย่างไร ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือด มาดูกัน

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

ก่อนอื่นมาดูก่อนว่า ภาพรวมตลาดร้านบริการอาหารในประเทศไทยมีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน

รายงานจาก Mordor Intelligence ระบุว่า มูลค่าตลาด Food service ในประเทศไทยปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 35.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเทียบเป็นเงินบาท (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 35 บาท) อยู่ที่ประมาณ 1.24 ล้านล้านบาท สอดคล้องกับรายงานอื่นจาก Scotts International ยืนยันตัวเลขใกล้เคียงกัน 35.40 พันล้าน USD ในปี 2025

ส่วนมูลค่าตลาดร้านสเต๊กในประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 9,000 – 10,000 ล้านบาท

จุดเริ่มต้น Santa Fe Steak

ถอดรหัส Santa Fe Steak
ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

Santa Fe Steak มีจุดเริ่มจากร้านอาหาร “ครัวไท” โดย “คุณสุรชัย ชาญอนุเดช” ที่มีชีวิตการทำงานเริ่มจากสายงานในธนาคาร แม้เงินเดือนจะไม่สูงนัก แต่เขามองเห็นโอกาสในการเติบโตด้านอื่นๆ จึงตัดสินใจลาออกเพื่อเข้าสู่วงการร้านอาหาร

โดยเริ่มต้นที่ร้าน S&P เพื่อเรียนรู้ระบบการจัดการร้านอาหารอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบ การประสานงาน การหาทำเล การเซ็ตระบบของร้านค้า การเรียนรู้จากแบรนด์มืออาชีพ กลายเป็นรากฐานสำคัญของเขาในอนาคต

หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้เพียงพอ คุณสุรชัยเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง โดยเปิดร้านอาหารไทยในชื่อ “ครัวไท” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลพญาไท ทำให้สามารถเปิดร้านได้ด้วยต้นทุนต่ำ และคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วโดยที่ระบบหลังบ้านยังไม่แข็งแรงพอ กลับกลายเป็นจุดอ่อนหลักที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินสะสมสูงถึง 92 ล้านบาท ปัญหาการบริหารสาขาและต้นทุน รวมถึงกระแสเงินสดติดลบ

สุดท้าย “ครัวไท” ต้องปิดกิจการลง กลายเป็นวิกฤตหนักที่สุดในชีวิตของเขา แม้จะล้มเหลวจาก “ครัวไท” แต่คุณสุรชัยไม่ยอมแพ้ เขานำบทเรียนจากความล้มเหลวมาวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบรนด์ใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม

ในปี 2546 เขาเปิดร้านสเต๊กในชื่อ Santa Fe Steak ที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ โดยวางตำแหน่งแบรนด์ “กึ่งกลางระหว่างสเต๊กโรงแรมกับสเต๊กรถเข็นริมทาง” คือ ราคาจับต้องได้ คุณภาพดี บริการระดับกลางถึงพรีเมียม

กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Santa Fe Steak เติบโตอย่างรวดเร็ว และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

กลับมาดูที่มาชื่อ “ซานตา เฟ่” (Santa Fe) ได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองในรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีเอกลักษณ์ในฐานะเมืองคาวบอยเก่า มีประวัติศาสตร์ของการลำเลียงวัวด้วยรถไฟ ซึ่งเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญในอดีต แนวคิดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านภาพลักษณ์ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น โลโก้รูปขบวนรถไฟ, การตกแต่งร้านสไตล์ตะวันตก และเมนูอาหารที่เน้นความเป็น “สเต๊กคาวบอย”

การเติบโตและความสำเร็จของ “ซานตา เฟ่ สเต๊ก”

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

หลังจากเปิดตัวในปี 2546 ด้วยแนวคิด “สเต๊กคุณภาพ ราคาจับต้องได้” ภายในเวลาไม่นาน Santa Fe ก็กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ร้านสเต๊กที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย

ช่วงปี 2558–2560 รายได้ของบริษัทเพิ่มจากประมาณ 929 ล้านบาท เป็น 1,147 ล้านบาท และในปี 2561 รายได้รวมพุ่งแตะ 1,158 ล้านบาท พร้อมกำไรสุทธิที่เติบโตต่อเนื่อง

ความสำเร็จของ Santa Fe มาจากหลายปัจจัย เช่น

  • การขยายสาขาอย่างรวดเร็วในห้างสรรพสินค้าและโลเคชันชุมชน
  • การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานอาหารอย่างเข้มงวด
  • การสื่อสารแบรนด์ที่โดดเด่นและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ในช่วงเวลานั้น Santa Fe ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ เจฟเฟอร์ สเต๊ก ในทำเลห้างสรรพสินค้า โดยภาพรวมตลาดร้านสเต๊กในประเทศไทยตอนนั้นมีมูลค่าประมาณ 10,000–15,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนประมาณ 40–50% มาจากเชนร้านสเต๊กในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีผู้เล่นหลักๆ ได้แก่ ซิซซ์เล่อร์, ซานตาเฟ่ สเต๊ก และ เจฟเฟอร์ สเต๊ก

บุกตลาดต่างประเทศ

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

ในปี 2561 Santa Fe Steak เริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มต้นที่ประเทศกัมพูชา ผ่านการให้สิทธิ์แฟรนไชส์ และเปิดสาขาแรกที่กรุงพนมเปญ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตลาดในต่างประเทศของแบรนด์สเต๊กสัญชาติไทยสู่เวทีโลก

ต่อมาปี 2562 กลุ่มสิงห์ (Singha Corporation) ได้เข้ามาถือหุ้น 90% ของบริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ซานตา เฟ่ ผ่านบริษัทในเครือ Food Factors ด้วยมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท โดยในเวลานั้นร้าน Santa Fe Steak มีจำนวนสาขาทั้งหมดประมาณ 111 แห่งทั่วประเทศไทย

ดีลนี้มีเป้าหมาย คือ

  • ขยายอาณาจักรธุรกิจร้านอาหารของกลุ่มสิงห์
  • เสริมศักยภาพในการบริหารและระบบซัพพลายเชน
  • เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
  • หลังการเข้าร่วมทุน Santa Fe ได้รับการปรับโฉมใหม่ และพัฒนาโมเดลบริการรูปแบบใหม่ ได้แก่ “SANTA FE’ EASY”

จุดเริ่มต้นของ “SANTA FE’ EASY”

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

เพื่อตอบโจทย์ตลาดอาหารที่เปลี่ยนไป และพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ฟู้ด แฟคเตอร์ และ KTR จึงพัฒนาโมเดลร้านอาหารรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ “SANTA FE’ EASY” โดยมีแนวคิดหลัก คือ

  • เร็ว – ให้บริการในรูปแบบ QSR (Quick Service Restaurant)
  • ง่าย – ลูกค้าบริการตัวเองได้ (Self-Service)
  • คุ้มค่า – ราคาเข้าถึงง่าย แต่ยังคงคุณภาพ และรสชาติแบบ Santa Fe Steak

ทำเลเปิดร้าน SANTA FE’ EASY มุ่งเน้นเปิดสาขาในทำเลที่เข้าถึงง่าย เช่น

  • ศูนย์การค้าขนาดเล็ก
  • คอมมูนิตี้มอลล์
  • อาคารสำนักงาน
  • ปั๊มน้ำมัน

โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว ทันใจ และมีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ

Santa Fe รีแบรนด์สู่ Santa Fe Happy Steak

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

ปัจจุบัน Santa Fe ได้รีแบรนด์เป็น Santa Fe Happy Steak ปรับเปลี่ยนจากโลโก้รถไฟมาเป็นรอยยิ้มสีส้มสดใส โดยก่อนหน้านี้คือวันที่ 15 ส.ค. 2568 ทางแบรนด์ได้ประกาศทางเพจบอกลา “ไปก่อนน้า” หลายๆ แบรนด์ชั้นนำของไทย ทำเอาหลายคนคิดว่าจะปิดตัวเหมือนร้านอาหารแบรนด์ดังต่างๆ จากสาเหตุภาวะเศรษฐกิจถดถอยและต้นทุนวัตถุดิบสูง

Santa Fe Happy Steak ยังอยู่ภายใต้บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด ในเครือบริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮลดิ้ง จำกัด (FAB) ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 3 พันธมิตรที่มีความหลงใหลในธุรกิจอาหาร ได้แก่

  • F = Food Factors บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอดฯ ผู้ถือหุ้นในบริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ Santa Fe Steak
  • A = AQUA บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของคุณฉาย บุญนาค เจ้าของเครือเนชั่น
  • B = คุณเบียร์ ปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกลุ่มโรงแรมใบหยก และ CEO บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง จำกัด

ทั้ง 3 ฝ่ายได้ร่วมกันก่อตั้ง FAB ขึ้นมา เพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจอาหารที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่

บริษัท FAB ได้รวบรวม 8 แบรนด์อาหารชื่อดังไว้ภายใต้ชายคาเดียวกัน ได้แก่ Santa Fe, Santa Fe Easy, เหม็ง แซ่บนัว, Sekai no Yamachan, ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ราเมงเดส, อิคโคฉะ ราเมน, และ อุชิดายะ ราเมน

การรีแบรนด์เป็น Santa Fe Happy Steak ถือเป็นความเคลื่อนไหวแรกของ FAB ที่มี “เบียร์ ใบหยก” เป็น CEO ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่า “ร้านภายใต้ชายคา FAB จะเซ็กซี่ขึ้น” เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ให้ครอบคลุม

โดยเฉพาะในกลุ่ม Young Gen ที่เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาด มีกำลังซื้อ กล้าที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่คิดว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

Santa Fe ไม่ได้เปลี่ยนแค่โลโก้ Santa Fe Happy Steak แต่เป็นการปรับภาพลักษณ์เดิมของแบรนด์ใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้าง “ประสบการณ์แบรนด์” (Experience-Driven Branding) ที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกของลูกค้าในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint)

โดยเน้นไปที่ 3 เรื่องสำคัญ

  1. เมนูใหม่หลากหลาย แชร์ง่าย กินคนเดียวก็ได้ มาเป็นแก๊งก็อิ่ม
  2. ดีไซน์ร้านสดใส ถ่ายรูปได้ทุกมุม เหมาะกับไลฟ์สไตล์ Gen Z
  3. การสื่อสารขี้เล่น สนุกสนาน เป็นกันเองมากกว่าเดิม

ปัจจุบัน Santa Fe มีสาขาในประเทศไทยกว่า 116 แห่ง มีสาขาภายใต้แบรนด์ Santa Fe’ Easy อีกกว่า 10 แห่ง และมีการขยายสาขาไปยังต่างประเทศอย่างกัมพูชาแล้ว 4 ประเทศ เป้าหมายในอนาคต ขยายครบ 200 สาขาทั่วประเทศไทยภายในปี 2569

Santa Fe ยังเปิดขายแฟรนไชส์

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

สำหรับใครที่สนใจทำธุรกิจร้านสเต๊ก ปัจจุบัน Santa Fe ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าร่วมธุรกิจแฟรนไชส์ พูดง่ายๆ ก็คือ เปิดขายแฟรนไชส์ให้นักลงทุนทั่วไปนั่นเอง โดยมีเงื่อนไข

  • ต้องมีสถานะเป็นนิติบุคคล
  • มีความพร้อมด้านการลงทุน เงินทุนหมุนเวียน และบุคลากร
  • มีความสนนใจในแบรนด์อย่างชัดเขน รักงานบริาการ
  • เข้าร่วมอบรมในหลักสูตรที่บริษัทกำหนด และต้องผ่านการทดสอบของบริษัท
  • มีความเข้าใจในการบริหารธุรกิจแฟรนไชส์ พร้อมทุ่มเททำงานเต็มที่ตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่กำหนด
  • มีความสนใจเปิดร้านอาหารมากกว่า 1 สาขาขึ้นไป

#งบลงทุนก่อสร้างร้าน อุปกรณ์ในร้าน และค่าสิทธิแฟรนไชส์ รวมประมาณ 4-7 ล้านบาท

เปรียบเทียบรายได้ 3 ร้านสเต๊กในห้างฯ

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด (Santa Fe)

  • ปี 2565 รายได้ 1,107.9 ล้านบาท กำไร 3.32 แสนบาท
  • ปี 2566 รายได้ 1,061 ล้านบาท ขาดทุน -36.6 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 1,011 ล้านบาท กำไร 4.6 ล้านบาท

บริษัท อีท แอม อา กรุ๊ป จำกัด (Eat Am Are)

  • ปี 2565 รายได้ 494 ล้านบาท กำไร 4.2 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 772 ล้านบาท กำไร 4.1 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 1,269 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท

บริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด (Sizzler)

  • ปี 2565 รายได้ 550 ล้านบาท ขาดทุน -59 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 760 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 3,617 ล้านบาท กำไร 198 ล้านบาท
ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

Santa Fe Steak

พบว่ารายได้ลดลงต่อเนื่อง 3 ปีติด แม้รายได้อยู่หลักพันล้านบาท มีกำไรเล็กน้อย แต่ขาดทุนอย่างหนักในปี 2566 ก่อนจะพลิกกลับมาทำกำไรเล็กน้อยในปี 2567 วิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจน่าจะอยู่ในช่วง “ฟื้นฟู-ปรับโครงสร้าง” เพื่อควบคุมต้นทุนและเพิ่ม

Eat Am Are

พบว่าธุรกิจร้านสเต๊กมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทั้งรายได้และกำไร แม้ว่ากำไรจะยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ แต่มีแนวโน้มดีขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทกำลังขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นเปิดสาขาในทำเลศักยภาพ และบริหารต้นทุนที่รัดกุม

Sizzler

พบว่าบริษัทมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปี 2567 สามารถทำรายได้พุ่งกว่า 4.7 เท่าจากปีก่อนหน้า ทำให้พลิกฟื้นจากขาดทุนหนักปี 2565 กลับมามีกำไรสูงเกือบ 200 ล้านบาทในระยะเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นว่าบริษัทเดิมใช้กลยุทธ์เชิงรุก เช่น การเข้าซื้อหรือควบรวมแบรนด์อื่นอย่าง Sizzler นั่นเอง

ความท้าทาย Santa Fe Happy Steak จากเสียงของลูกค้า

ภาพจาก www.facebook.com/santafehappysteak

แม้ Santa Fe จะมีความพยายามในการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ทั้งการเปลี่ยนโลโก้และเมนูใหม่ แต่เสียงสะท้อนจากลูกค้ากลับชี้ให้เห็นว่า “คุณภาพโดยรวมลดลง แต่ราคาเพิ่มขึ้น” มากกว่าที่จะดีขึ้น

  1. ลูกค้ารู้สึกว่า ราคาสูงขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับน้อยลง ทั้งในแง่ปริมาณอาหาร ไม่มีเครื่องดื่มในเซ็ต และโปรโมชั่นที่เคยมีหายไป
  2. รสชาติและคุณภาพอาหาร กลับไม่สมกับราคา หลายคนรู้สึกว่าจืด ไม่ถึงเครื่อง ซุปไม่ข้น ซอสไม่เข้ม และไม่มีการเติมรสเพิ่มเติมให้ลูกค้าได้เลือก
  3. การบริการไม่สม่ำเสมอ บางสาขาบริการดี บางสาขากลับดูไม่ใส่ใจ ทั้งสีหน้าท่าทางพนักงาน และการจัดเสิร์ฟที่ “ไม่ตรงปก”
  4. ลูกค้าหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ราคานี้ คุ้มจริงไหม” บางรายถึงขั้นหันไปเลือกแบรนด์คู่แข่งอย่าง Eat Am Are หรือแม้แต่ Sizzler ที่ให้ความคุ้มค่ามากกว่า

สรุป

การที่แฟรนไชส์ Santa Fe Steak เดินหน้าทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลโก้หรือรูปลักษณ์ภายนอก แต่เปลี่ยนทั้ง “ประสบการณ์” เพื่อให้ลูกค้ากลับมา “มีความสุขกับการกินสเต๊กอีกครั้ง”

เห็นได้ว่ากลยุทธ์ใหม่ของแบรนด์มุ่งเน้นการตลาดที่สร้างสรรค์ ใช้ทีมผู้บริหารใหม่ เชื่อมโยงกับอารมณ์ของผู้บริโภคยุคใหม่ กระตุ้นให้ลูกค้าอยากเข้าร้าน อยากลองทานเมนูใหม่ๆ โดยไม่รู้สึกว่าถูกขายของ

เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าแบรนด์อยากเติบโตอย่างยั่งยืน การรีแบรนด์ที่ดีไม่ใช่แค่การเปลี่ยนภาพลักษณ์ แต่ต้อง “รับฟังลูกค้า” และพัฒนา “คุณภาพ รสชาติ และบริการ” ไปพร้อมๆ กันด้วย

อ้างอิงข้อมูล

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช