คิดวิเคราะห์ขายอาหารใน Food Court คุ้มหรือไม่

ทุกวันนี้ถ้าไปทานอาหารเราจะทานที่ไหน บางคนทานร้านทั่วไป แต่เชื่อเถอะว่าคนอีกจำนวนไม่น้อยใช้บริการ “Food Court” ที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้า แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดเกี่ยวกับจำนวน Food Court ทั้งหมดในประเทศไทย แต่พอจะสรุปได้ว่า ฟู้ดคอร์ทเป็นส่วนสำคัญของศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ ซึ่งมี Food Court กระจายอยู่ในศูนย์การค้าหลายแห่ง

ตัวอย่างน่าสนใจคือเซ็นทรัลพัฒนา มีธุรกิจศูนย์อาหาร หรือ Food Court ภายในศูนย์การค้าต่างๆมากกว่า 32 แห่ง เช่น เซ็นทรัลฟู้ดพาร์ค (CentralFoodPark) , ฟู้ด พาทิโอ (Food Patio) รวมถึง ฟู้ด เวิลด์ (Food wOrd) เป็นต้น

โดยโมเดล Food Court ของเซ็นทรัลพัฒนา วางตำแหน่งแตกต่างกัน โดย เซ็นทรัลฟู้ดพาร์ค เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดแมส เน้นดึงร้านดังในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ในอีกหลายห้างสรรพสินค้าแทบทุกที่ก็มี Food Court ทั้งนั้นไม่ว่าจะ Big C , Lotus หรือว่า The Mall

คิดวิเคราะห์ขายอาหารใน Food Court

และในยุคที่เน้นความสะดวกสบายแบบนี้ ก่อให้เกิดคำถามว่าเปิดร้านอาหารใน Food Court น่าจะดีกว่าไปเปิดริมทางทั่วไปไหม อันนี้เราจะต้องมาดูถึงข้อดีก่อนว่าใน Food Court น่าสนใจยังไง

  1. ลูกค้าเข้าถึงง่าย เพราะส่วนใหญ่อยู่ในทำเลทองและลูกค้าเองก็นิยมมาเดินห้างสรรพสินค้าอยู่แล้ว โอกาสในการเข้าถึงจึงง่ายมากขึ้น
  2. ไม่ต้องลงทุนแต่งร้านมาก เนื่องจากว่าในทุก Food Court มีพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม เช่น โต๊ะกลาง ระบบระบายอากาศ ระบบไฟฟ้า ผู้ประกอบการไม่ต้องแต่งร้านให้ดึงดูดเหมือนการเปิดร้านตามริมทางทั่วไป
  3. ประหยัดงบด้านการตลาด เพราะ Food Court จะเน้นอยู่ตามห้างสรรพสินค้า ปริมาณลูกค้าที่มาใช้บริการในแต่ละห้างคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ Food Court ขายดีไปด้วย เท่ากับว่าไม่จำเป็นต้องใช้งบโฆษณาแต่ลูกค้าก็พร้อมมาใช้บริการ
  4. ต้นทุนคงที่ ควบคุมได้ง่าย แน่นอนว่า Food Court มีค่าใช้จ่ายในตัวเองที่ชัดเจน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละห้างสรรพสินค้าว่ามีเงื่อนไขอย่างไร เช่นค่าเช่ารายเดือน หรือรายจ่ายต่างๆ ที่กำหนดให้ผู้ลงทุนได้เห็นชัดเจน
  5. ไม่เสี่ยงเรื่องฝนหรือสภาพอากาศ เพราะเป็นการเปิดร้านในห้างสรรพสินค้าที่ปัจจัยเรื่องอากาศไม่มีผลโดยตรง แต่อาจมีผลโดยทางอ้อมในกรณีที่มีลูกค้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าน้อยลงเพราะฝนตกหนักจนคนไม่ออกจากบ้าน
  6. สะดวกในการบริหารจัดการ เพราะระบบจัดการของ Food Court มีมาตรฐาน เช่น การเก็บเงินผ่านบัตรศูนย์อาหาร การดูแลความสะอาดส่วนกลาง เป็นต้น

อย่างไรก็ดีไม่ใช่จะมีแต่ข้อดีเท่านั้น หากแต่ข้อเสียก็เป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาและวิเคราะห์ภาพรวมให้ชัดเจนเช่นกัน โดย Food Court มีข้อเสียที่ควรรู้เช่น

  1. ค่าเช่าสูง โดยขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ เป็นตัวแปรสำคัญว่าควรลงทุนหรือไม่
  2. การแข่งขันสูง เพราะลูกค้ายุคนี้มักเปรียบเทียบราคากับความคุ้มค่า แต่ก็ต้องการเรื่องรสชาติและบริการที่ดีทำให้ทุกร้านต้องแข่งขันกันสูงมาก
  3. ข้อจำกัดในการใช้พื้นที่และอุปกรณ์ ในบาง Food Court ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ทำอาหารบางชนิดได้ เช่น เตาแก๊สหรือเตาอบขนาดใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละห้างสรรพสินค้าด้วย
  4. เวลาทำการจำกัด ต้องเป็นไปตามเวลาของห้างหรือศูนย์อาหาร ไม่สามารถเปิด-ปิดตามใจได้
  5. รายได้ถูกหักค่าบริหารจัดการ บาง Food Court หักเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย หรือมีค่าธรรมเนียม การใช้ระบบเงินสด/บัตร เป็นต้น

คิดวิเคราะห์ขายอาหารใน Food Court

เหนือสิ่งอื่นใดเราเชื่อว่าสิ่งที่คนอยากรู้มากที่สุดคือ “ตัวเลข” รายได้ของการขายอาหารใน Food Court ซึ่งเราจะคำนวณให้ดูกันแบบคร่าวๆ แต่ตัวเลขที่แท้จริงจะต้องแปรผันกับเงื่อนไขในแต่ละห้างสรรพสินค้า ดังนั้นตัวเลขนี้จึงแค่ประมาณการพอให้เห็นภาพเท่านั้น

  • ค่าเช่าฟู้ดคอร์ท 60,000 บาท
  • วัตถุดิบ (30% ของยอดขาย) 54,000 บาท (ถ้ายอดขาย 180,000)
  • ค่าจ้างลูกจ้าง 1-2 คน 20,000–30,000 บาท
  • ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 10,000–15,000 บาท
  • รวมต้นทุนทั้งหมด 145,000–160,000 บาท

** หมายความว่าถ้าตัวเลขประมาณนี้และต้องการทำร้านให้ได้กำไร 20,000–30,000 บาท/เดือนจะต้องมียอดขายไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท/เดือน หรือวันละ 6,500–7,000 บาทขึ้นไป **

คิดวิเคราะห์ขายอาหารใน Food Court

ถ้าพิจารณาในแง่ของรายจ่ายแล้วมั่นใจว่าร้านค้ายอมรับได้ การเปิดร้านใน Food Court ก็ถือว่าน่าสนใจ อาจจะเหมาะกับผู้ที่มีเมนูอาหารโดดเด่น หรืออาหารทำง่ายไม่ต้องใช้เวลามาก และมีการบริหารจัดการต้นทุนร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ร้านใน Food Court จึงไม่เหมาะกับร้านอาหารที่ต้องการสร้างบรรยากาศ หรือร้านอาหารบางแห่งมีเมนูซับซ้อนใช้เวลาทำมาก เป็นเมนูเฉพาะ ก็ไม่เหมาะมาเปิดร้านใน Food Court เช่นกัน

แต่ถ้าอยากลองเปิดร้านใน Food Court ก็อาจจะเริ่มต้นจากขนาดเล็กหรือชั่วคราว (Pop-up/Food Hall) เพื่อศึกษาดูแนวทาง และควรเลือกเมนูที่ต้นทุนต่ำ แต่สามารถขายได้เร็ว และมีความน่าสนใจ ต้องไม่ลืมในเรื่องรสชาติ และความคุ้มค่าซึ่งเป็นปัจจัยในการเลือกซื้อที่สำคัญของลูกค้าด้วย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด