กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย

อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนไทยในปัจจุบันคือ 78 ปี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่รวดเร็วและรุนแรงเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2565 เพราะว่ามีประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปเกินกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด

และการสำรวจในปี 2568 พบว่ามีผู้สูงอายุคิดเป็น 20.70% หรือประมาณ 13.7 ล้านคนจากประชากรโดยรวม และคาดว่าตัวเลขผู้สูงอายุดังกล่าวนี้จะสูงถึง 30% ภายในปี 2573

อย่างไรก็ดีกลับมีสัญญาณที่ขัดแย้งเกิดขึ้น นั่นคือแนวคิดของภาครัฐที่เสนอการขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี เพื่อรับมือสังคมสูงวัย และแนวคิดเกษียณวัย 45 ปี ที่กำลังเกิดขึ้นในภาคเอกชนบางส่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวกับเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ความขัดแย้งนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมที่นำไปสู่ความกังวลว่าคนไทยจำนวนมากอาจตกอยู่ในภาวะ “จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โครงการเกษียณ 45 ปี เพิ่มโอกาส “ความเสี่ยงทางการเงิน”

ภาพจาก https://elements.envato.com

ก่อนที่ภาครัฐจะเสนอไอเดียขยายอายุเกษียณ มีกระแสจากภาคเอกชนที่จุดประกายความตื่นตระหนก โดยเฉพาะโครงการ “เกษียณก่อน เกษมสุข” ของธนาคารกสิกรไทย ในปี 2568 ที่เปิดรับสมัครพนักงานอายุ 45-59 ปีให้เกษียณก่อนกำหนด โดยให้เงินชดเชยและเงินพิเศษสูงสุด 12 เดือน

โครงการนี้ไม่ใช่กรณีแรก แต่เป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ “Early Retire” ที่หลายองค์กรเอกชนนำมาใช้ เพื่อปรับโครงสร้างพนักงาน ลดต้นทุน และรับมือเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI ที่ทำให้ตำแหน่งงานบางประเภทหดตัว หรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ก็มีโครงการที่คล้ายกันสำหรับพนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่า 10 ปี

โครงการเหล่านี้ในมุมหนึ่งอาจเหมือนจะเป็น ของขวัญ สำหรับมนุษย์เงินเดือนวัยกลางคนที่เหนื่อยล้าและไม่อยากทำงาน แต่ในความเป็นจริง มันคือดาบสองคม โดยเฉพาะในประเทศที่อัตราส่วนพึ่งพิงผู้สูงอายุ (Old Age Dependency Ratio) พุ่งสูงถึง 31.1 ในปี 2565 หมายความว่า วัยแรงงาน 100 คนต้องรับผิดชอบผู้สูงอายุ 31 คน

ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ อย่างต่อเนื่อง หากคนวัย 45 ปีถูกชักจูงให้เกษียณ สิ่งที่ต้องเผชิญคือช่องว่างชีวิตที่ยาวนานถึง 20-35 ปี ก่อนถึงอายุขัยเฉลี่ย โดยไม่มีรายได้ประจำ

นโยบายขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี แก้ปัญหา หรือ เพิ่มปัญหา

ภาพจาก https://elements.envato.com

แต่เพียงแค่ 2 เดือนหลังโครงการเกษียณ 45 ปีของ KBank สร้างกระแส ภาครัฐเองก็เสนอแนวคิดขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 65 ปี ในเดือนตุลาคม 2568 โดยย้ำว่าเป็น “แนวคิดสมัครใจ” เพื่อสอดคล้องกับเทรนด์โลก เช่น ญี่ปุ่นที่ขยายถึง 70 ปี ออสเตรเลียกำหนดรับบำนาญที่ 67 ปี และเกาหลีใต้ขยายจาก 55 เป็น 60 ปี

และก็มีนักวิชาการออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยชี้ว่าอายุเกษียณ 60 ปีที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2494 ล้าสมัยเกินไป เมื่ออายุขัยเพิ่มจาก 60 เป็น 78 ปี และผู้สูงอายุ 60-69 ปี ส่วนใหญ่ยังมีศักยภาพทำงานได้ หากปรับนโยบายให้ยืดหยุ่น เช่น ทำงานนอกเวลา หรือปรับสภาพแวดล้อมปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ในอีกมุมหนึ่งก็ถูกมองว่าเป็น “การล็อกชีวิตแรงงาน” โดยเฉพาะคนที่เพิ่งถูกเกษียณจากเอกชนในวัย 45 ปี อาจจะต้องหางานใหม่เพื่อรอถึง 65 ปีกว่าจะได้บำนาญจากประกันสังคม

แม้ภาครัฐจะชี้แจงว่าการขยายฐานอายุแรกเข้าประกันตนมาตรา 33 เป็น 65 ปี ไม่ใช่การเลื่อนรับบำนาญ แต่สำหรับข้าราชการแล้ว การขยายเวลาดังกล่าวจะช่วยประหยัดงบประมาณ โดยลดการจ่ายบำเหน็จบำนาญและค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ให้น้อยลงได้

ปัญหาวัยเกษียณ! ต้องเตรียมเงินแค่ไหน ถึงจะไม่จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย

ภาพจาก https://elements.envato.com

มีการคำนวณแบบเข้าใจง่ายถ้าคนวัย 45 ปีเกษียณตอนนี้ ต้องเตรียมเงินอย่างน้อย 18-25 ล้านบาทสำหรับ 33 ปีหลังเกษียณ โดยคำนวณจากอัตราเงินเฟ้อ 3% และผลตอบแทน 4% แต่ในความจริง คนไทยส่วนใหญ่มีเงินออมน้อยกว่า 1 ล้านบาท ส่งผลให้ 91.4% ของผู้สูงอายุในอีก 20 ปีต้องทำงานต่อ แม้สุขภาพทรุดโทรม

และในมุมที่แย่สุดหากการเกษียณวัย 45 ปีกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่จริง คนไทยจะมีช่วงชีวิตการทำงานเพียง 20-25 ปี ขณะที่ต้องวางแผนชีวิตหลังเกษียณไปอีกอย่างน้อย 30-40 ปี ซึ่งการสำรวจพบว่า

  • คนไทยกว่า 80% วางแผนเกษียณแต่ทำได้จริงไม่ถึง 20%
  • 75% มีเงินเก็บฉุกเฉินไม่พอใช้ถึง 6 เดือน หากต้องเกษียณที่ 45 ปี
  • หลังวัยเกษียณต้องมีเงินอย่างน้อย 40,000 บาทต่อเดือน หรือต้องมีเงินเก็บรวมกับเงินชดเชยอย่างน้อย 18 ล้านบาท
  • คนวัย 45 ปี หลายคนยังอยู่ในช่วงภาระหนี้สินสูงสุด ทั้งผ่อนบ้าน ส่งลูกเรียน

ผลกระทบจาก 2 ขั้วความเสี่ยงที่ผลักดันคนไทยสู่ “จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย”

ภาพจาก https://elements.envato.com

ด้านเศรษฐกิจ: การขยายอายุเกษียณอาจช่วยเพิ่มกำลังแรงงานทักษะสูง ลดช่องว่างจากวัยทำงานที่หดตัว 7 ล้านคนใน 20 ปี และประหยัดงบรัฐราว 10-20% จากบำนาญ แต่สำหรับคนเกษียณ 45 ปี มันหมายถึงการว่างงานยาวนาน หางานใหม่ยาก ส่งผลให้อัตราว่างงานพุ่ง และเพิ่มภาระสวัสดิการสังคม เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่รัฐจ่ายปีละ 100,000 ล้านบาท

ด้านสังคม: จะสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่าง “ชนชั้นนำ” ที่มีทักษะสูง ได้ต่อสัญญางานถึง 65 ปี กับ “แรงงานรากหญ้า” ที่ถูกคัดออกตั้งแต่ 45 ปี ส่งผลให้ครอบครัวแตกหัก วัยทำงานหนุ่มสาวต้องเลี้ยงพ่อแม่นำไปสู่ภาวะ “จนก่อนแก่” เพิ่มอัตราส่วนพึ่งพิงจาก 31 เป็น 50 คนต่อ 100 วัยทำงาน นอกจากนี้ สุขภาพจิตที่ทรุดจากความเครียดอาจนำไปสู่ “แย่ก่อนตาย” โดยผู้สูงอายุวัยปลาย (80+ ) ประมาณ 1.82 ล้านคน อาจขาดโอกาสดูแลเพราะลูกหลานเหนื่อยล้า

ด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต: ถ้าขยายเกษียณโดยไม่ปรับสภาพงาน ผู้สูงอายุ 70-79 ปี ที่มีประมาณ 3.65 ล้านคนอาจป่วยจากงานหนัก เพิ่มภาระให้กับค่ารักษาพยาบาลที่รัฐแบกอยู่แล้ว 20% ของงบสุขภาพ แต่ถ้าทำสมัครใจและอัพสกิล อาจจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้เสริม ลดปัญหาลงได้ระดับหนึ่ง การขยายอายุเกษียณ 65 ปี อาจเป็นทางออกจำเป็นสำหรับสังคมสูงวัย แต่ถ้าไม่เชื่อมโยงกับโครงการเกษียณ 45 ปีที่เป็นกระแสและกำลังลากคนรุ่นกลางลงเหว มันจะยิ่งตอกย้ำวลี “จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย”

ภาครัฐอาจต้องเร่งอัพสกิลแรงงานตั้งแต่อายุ 30 ปี สร้างกองทุนบำนาญเอกชนที่ยั่งยืน และปรับกฎหมายให้ยืดหยุ่น เช่น อนุญาตทำงาน Part-time หลัง 45 ปี สำหรับประชาชนเองก็ต้องปรับตัวและเริ่มวางแผนออมตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ช่วงเวลาหลังเกษียณเป็นเวลาแห่งความสุข

ปัจจุบันสังคมไทยมีเวลาเหลือไม่มาก ก่อนที่ผู้สูงอายุ 20.5 ล้านคนในปี 2583 และปัญหานี้จะกลายเป็นภาระที่ไม่มีใครแบกไหว

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด