กว่าจะยิ่งใหญ่ แฟรนไชส์สะดวกซื้อ 7- Eleven
เชื่อว่าหลายคนคงคิดไม่ถึงว่า ร้านเล็กๆ ที่เริ่มต้นจากการขายน้ำแข็งในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา จะสามารถเติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายใต้ชื่อ 7-Eleven
ธุรกิจที่เคยประสบปัญหาภาวะล้มละลาย จนต้องถูกซื้อกิจการไปอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทแม่ในญี่ปุ่น กลับสามารถพลิกฟื้นกิจการกลับมาได้อย่างแข็งแกร่ง จนสามารถขยายสาขาไปทั่วโลกมากกว่า 86,000 แห่งใน 21 ประเทศ ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกล่ง ยุโรป อเมริกาเหนือ รวมถึงประเทศไทย
เบื้องหลังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะการดำเนินธุรกิจค้าปลีกทั่วไป แต่เกิดจากวิสัยทัศน์ผู้บริหาร กลยุทธ์การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดและผู้บริโภค ตลอดจนการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะพาย้อนรอยเส้นทางการเติบโตของ 7-Eleven จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่การเป็นผู้นำในวงการร้านสะดวกซื้อระดับโลก พร้อมถอดบทเรียนสำคัญที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลายๆ ธุรกิจในยุคปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven

7-Eleven เริ่มต้นขึ้นในปี 1927 จากการรวมตัวของกลุ่มบริษัทขายน้ำแข็งในเมือง ดัลลัส รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งในยุคนั้นน้ำแข็งถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับใช้เก็บอาหาร เพราะตู้เย็นไฟฟ้ายังไม่แพร่หลาย จากนั้นเริ่มขายสินค้าอุปโภคบริโภคร่วมด้วย ต่อมาบริษัท Southland Ice เปลี่ยนเป็นร้านค้าปลีกเต็มรูปแบบ โดยมีชื่อว่า Tote’m Stores เพื่อสื่อถึงการ “หิ้ว” ของกลับบ้าน

ในปี 1931 Joe C. Thompson, Sr. เข้ารับตำแหน่งประธานบริษัท และแม้บริษัทจะประสบภาวะล้มละลายช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (The Great Depression) แต่สามารถฟื้นตัวได้ โดยหันมาเน้นการขายอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะหลังปี 1933 ที่สหรัฐอเมริกาอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อีกครั้ง
ในปี 1946 บริษัทได้รีแบรนด์ใหม่เป็น 7-Eleven เพื่อสื่อถึงเวลาทำการใหม่คือ 7 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่มทุกวัน (07.00 – 23.00 น.) ซึ่งถือว่าเปิดยาวนานกว่าร้านค้าทั่วไปในยุคนั้น
การเติบโตและการขยายสาขาทั่วอเมริกา

นับตั้งแต่ช่วงปี 1950 7-Eleven เริ่มขยายกิจการออกนอกเท็กซัสไปยังชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ต่อมาปี 1963 บางสาขาเริ่มเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงเป็นครั้งแรก และในปี 1964 ได้เริ่มเปิดขายแฟรนไชส์ให้นักลงทุนทั่วไปอย่างเป็นทางการ
ปีถัดมา 7-Eleven เปิดตัวสินค้าเครื่องดื่มเย็นชื่อดัง Slurpee ในปี 1966 และตามมาด้วย Big Gulp แก้วน้ำขนาดใหญ่ 32 ออนซ์ในปี 1976 ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ลูกค้าจดจำได้จนถึงปัจจุบัน
ขยายตลาดแฟรนไชส์สู่ต่างประเทศ

7-Eleven เริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ โดยในปี 1973 ได้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์ในประเทศญี่ปุ่น และเปิดร้าน 7-Eleven สาขาแรกในกรุงโตเกียวปี 1974 ซึ่งในตอนนั้น 7-Eleven มีสาขากว่า 5,000 แห่งทั่วโลก บริษัทยังได้ลงทุนในธุรกิจอื่น เช่น Chief Auto Parts และ CITGO Petroleum เพื่อเป็นแหล่งจ่ายน้ำมันให้กับสาขาที่มีปั๊มน้ำมัน
ช่วงปี 1980 บริษัทต้องเผชิญกับความพยายามเข้ามายึดกิจการของกลุ่มนักลงทุนจากแคนาดา ทำให้ครอบครัว Thompson ตัดสินใจซื้อหุ้นคืนทั้งหมดในปี 1987 (leveraged buyout) และตามมาด้วยการขายธุรกิจในเครือจำนวนมาก เพื่อลดภาระหนี้สินจำนวนมหาศาล และหนึ่งในนั้นห็คือ การขยายแฟรนไชส์ในตลาดประเทศไทยผ่านเครือซีพี

จนในปี 1990 บริษัทล้มละลายอีกครั้ง จึงทำให้บริษัท Ito-Yokado ต้องใช้เงินกว่า 430 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าซื้อหุ้น 70% ของ Southland เพราะกลัวว่าการบริหารงานที่ตกต่ำของ Southland จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์สินค้าของ 7-Eleven ในญี่ปุ่น
ต่อมาในช่วงปลายปี 1990 ผู้ก่อตั้ง 7-Eleven ในญี่ปุ่น คุณ Masatoshi Ito ได้รับเลือกให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของบริษัท Ito-Yokado จนกระทั่งในปี 2005 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 7-Eleven & I เป็นการเอาชื่อร้านสะดวกซื้อกับอักษรตัวแรกของบริษัทเดิมมารวมกัน คุณ Ito-Yokado ดำรงตำแหน่งไปจนกระทั่งถึงแก่ชีวิตในปี 2023 อายุ 98 ปี
หลังการฟื้นฟูในปี 1991 บริษัท Southland ในสหรัฐอเมริกาได้มีเจ้าของและผู้ถือหุ้นหลัก คือ Ito-Yokado และ Seven-Eleven Japan ซึ่งภายหลัง 2 บริษัทนี้รวมตัวกันเป็น Seven & I Holdings ในปี 2005 และกลายเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven อย่างเต็มรูปแบบจนถึงปัจจุบัน แม้สำนักงานใหญ่ของแบรนด์ยังคงตั้งอยู่ในเมืองดัลลัส สหรัฐอเมริกา
การเติบโตและความท้าทาย 7-Eleven
ในช่วงทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา 7-Eleven ได้เร่งขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการหลายแห่งในอเมริกา
- ปี 2018 เข้าซื้อกิจการ Stripes และร้านอาหารเม็กซิกัน Laredo Taco Company
- ปี 2020 เปิดตัวแบรนด์ร้านอาหารในร้าน 7-Eleven ชื่อ Raise the Roost Chicken & Biscuits
- ปี 2021 เข้าซื้อกิจการ Speedway จาก Marathon Petroleum รวมกว่า 3,800 สาขาในสหรัฐฯ และแคนาดา
- ปี 2024 ปิดดีลมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าซื้อ Stripes และ Laredo Taco Company เพิ่มเติมจาก Sunoco LP
ในปีเดียวกัน บริษัทจากแคนาดา Alimentation Couche-Tard เสนอซื้อกิจการ Seven & I Holdings ในญี่ปุ่น 0มูลค่าสูงถึง 47 พันล้านดอลลาร์ แต่ดีลล่มในเดือนกรกฎาคม 2025 ท่ามกลางข้อขัดแย้งและปัญหาความโปร่งใสในการเจรจา
แผนตั้งรับการซื้อกิจการในอนาคต

เพื่อรับมือกับแรงกดดันและสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ Seven & I ได้แต่งตั้ง Stephen Hayes Dacus อดีตผู้บริหารจาก Walmart และ Fast Retailing เป็น CEO ในช่วงต้นปี 2025
เขาได้ประกาศแผนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงเตรียมแยกธุรกิจ 7-Eleven ในอเมริกาเหนือ เข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2026, ลงทุนในการขยายสินค้าประเภทอาหารสดในร้านสาขาสหรัฐฯ ซื้อคืนหุ้นธุรกิจ 7-Eleven ในอเมริกาเหนือ มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นทศวรรษ
ประเด็นค่าจ้างแรงงานที่สั่นสะเทือน
แม้ 7-Eleven จะเป็นแบรนด์ร้านสะดวกซื้อระดับโลกที่ได้รับความนิยมมายาวนาน แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็มีบางสาขาแฟรนไชส์ที่ตกเป็นข่าวในเชิงลบเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างแรงงาน โดยเฉพาะข้อกล่าวหาเรื่อง การจ่ายค่าจ้างไม่เป็นธรรม และ การขโมยค่าจ้าง (Wage Theft)
ในปี 2020 แฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ได้จ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวน 173 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับพนักงานในออสเตรเลีย หลังมีการเปิดเผยกรณีการขโมยค่าจ้าง ซึ่งเริ่มเป็นประเด็นตั้งแต่ปี 2015
ต่อมาในปี 2022 บริษัทฯ ได้ถูกสั่งให้จ่ายเงินเพิ่มอีก 98 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 73.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้แก่กลุ่มแฟรนไชส์ซีในออสเตรเลียที่รวมตัวกันฟ้องในคดีแบบกลุ่ม (Class Action) โดยอ้างว่าโมเดลธุรกิจของ 7-Eleven นั้นเอื้อต่อการละเมิดสิทธิแรงงาน
ล่าสุดในเดือนกันยายน 2023 กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องเจ้าของร้านแฟรนไชส์ 7-Eleven จำนวน 4 สาขาในรัฐมิชิแกน ฐานละเมิดกฎหมายแรงงาน โดยไม่จ่ายค่าล่วงเวลาให้กับพนักงาน
เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่การบริหารจัดการในระดับสาขาแฟรนไชส์ ก็ยังมีความเสี่ยงและต้องการการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อรักษามาตรฐานและความเชื่อมั่นจากสาธารณชน
แผนการขยายธุรกิจ 7-Eleven ครั้งใหญ่

แม้จะมีความท้าทายด้านแรงงาน แต่ 7-Eleven ยังคงเดินหน้าอย่างจริงจังในการขยายธุรกิจไปทั่วโลก ปัจจุบัน 7-Eleven คือแบรนด์ค้าปลีกที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลก โดยมีร้านมากกว่า 86,000 สาขาในกว่า 21 ประเทศ และยังคงมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
ย้อนไปเดือนเมษายน 2024 บริษัทแม่ Seven & I Holdings ได้ประกาศเป้าหมายในการขยายเครือข่ายร้านให้ครบ 100,000 สาขาใน 30 ประเทศภายในปี 2030 โดยเน้นการเปิดตลาดใหม่ในยุโรป, ละตินอเมริกา, ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา พร้อมทั้งจะเดินหน้าทำการควบรวมกิจการ (M&A) ในภูมิภาคอเมริกาเหนืออย่างเชิงรุก
หลังจากที่บริษัทปฏิเสธข้อเสนอการซื้อกิจการจากบริษัท Alimentation Couche-Tard ของแคนาดาในปี 2024–2025 บริษัทฯ ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ใหม่ มุ่งเน้นไปที่การลดค่าใช้จ่าย, ขายธุรกิจที่ไม่ใช่แกนหลัก และ เตรียมแยกธุรกิจร้านสะดวกซื้อในอเมริกาเหนือออกไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น (Spin-off)
สถิติจำนวนสาขา 7-Eleven ทั่วโลกปี 2023
อเมริกาเหนือ
- สหรัฐอเมริกา 13,334 สาขา (2025)
- เม็กซิโก 1,925 สาขา
- แคนาดา 596 สาขา
ยุโรป / ตะวันออกกลาง
- เดนมาร์ก 174 สาขา
- นอร์เวย์ 129 สาขา
- สวีเดน 79 สาขา
- อิสราเอล 8 สาขา
เอเชียแปซิฟิก
- ญี่ปุ่น 21,789 สาขา (2025)
- ไทย 15,595 สาขา (2025)
- เกาหลีใต้ 13,137 สาขา
- ไต้หวัน 6,859 สาขา
- จีน 5,051 สาขา
- ฟิลิปปินส์ 3,768 สาขา
- มาเลเซีย 2,566 สาขา
- ออสเตรเลีย 767 สาขา
- สิงคโปร์ 500 สาขา
- เวียดนาม 99 สาขา
- กัมพูชา 82 สาขา
- อินเดีย 47 สาขา
- ลาว 3 สาขา
เส้นทางความสำเร็จของ 7-Eleven ในประเทศไทย

เส้นทางการเติบโตของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศไทย มีจุดเริ่มต้นเมื่อ 37 ปีที่แล้ว จากความกล้าคิด กล้าทำของ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group)
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ปี 1988 บริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) ได้เซ็นสัญญาซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์จากบริษัท Southland Corporation ปัจจุบันคือ 7-Eleven Inc. ในเครือญี่ปุ่น ก่อนจะเปิดสาขาแรกที่หัวมุมถนนพัฒน์พงศ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 1989 โดยเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
จุดเริ่มต้นที่ไม่ง่าย แต่เป็นเพราะวิสัยทัศน์เจ้าสัวธนินท์

ในหนังสือ “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว” เจ้าสัวธนินท์เล่าว่า ได้เห็นความสำเร็จของ 7-Eleven ในสหรัฐอเมริกา และเชื่อมั่นว่ารูปแบบร้านสะดวกซื้อแบบนี้ จะประสบความสำเร็จในไทยเช่นกัน
ในตอนแรกบริษัทแม่ในอเมริกาปฏิเสธไม่ขายสิทธิ์แฟรนไชส์ให้ ด้วยเหตุผลว่า GDP ต่อหัวของคนไทยต่ำ กำลังซื้อน้อย หากเปรียบเทียบการซื้อ 1 บิลของลูกค้าอเมริกัน ต้องใช้ลูกค้าคนไทยถึง 15 คนรวมกัน
แต่เจ้าสัวธนินท์ให้เหตุผลกลับไปว่า ถึงแม้คนไทยจะมีกำลังซื้อน้อย แต่ต้นทุนในไทยถูกกว่าอเมริกาถึง 10 เท่า ทั้งค่าก่อสร้าง ค่าจ้างพนักงาน และราคาสินค้า เมื่อนำต้นทุนต่ำมาประกอบกับปริมาณการซื้อรวมกัน ก็สามารถทำกำไรได้ไม่แพ้อเมริกา ที่สำคัญคือการลงทุนในไทยมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะที่ดินและแรงงานถูกกว่าอย่างมาก
แม้จะมีเสียงคัดค้านว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง แต่เจ้าสัวมองว่าธุรกิจที่เริ่มต้นยาก หากสำเร็จจะยั่งยืน นั่นเป็นจุดเริ่มของการนำ 7-Eleven เข้ามาเปิดในไทย
วิกฤติในช่วงแรก ขาดทุน สินค้าหาย พนักงานลาออก

ย้อนกลับไปช่วงปี 1990 คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ได้รับมอบหมายจากเจ้าสัวธนินท์ให้เข้ามากอบกู้ 7-Eleven ในไทย ซึ่งตอนนั้นมีเพียง 27 สาขา และยังขาดทุนต่อเนื่องมาจากปัญหาหลัก คือ
- อัตราสูญหายของสินค้า สูงถึง 2.5% ต่อเดือน (ธุรกิจค้าปลีกทั่วไปไม่ควรเกิน 1%)
- กว่า 80% ของสินค้าที่หาย มาจากพนักงานในร้านเอง
- พนักงานลาออกสูงมาก ต้องจ้างใหม่ถึง 1,500 คนต่อเดือน
วิธีแก้ของคุณก่อศักดิ์ “ให้การศึกษา”
คุณก่อศักดิ์มองว่า พนักงานจำนวนมากขาดโอกาสทางการศึกษา เขาจึงร่วมมือกับกรมอาชีวศึกษา ออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ให้พนักงานได้เรียนต่อวิธีนี้ช่วยสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน เพราะหากร้านไปไม่รอด พวกเขาก็หมดโอกาสเรียน จึงต้องตั้งใจทำงานให้ดี
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เช่น การเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้าน นอกจากให้การศึกษาแก่พนักงาน ยังเพิ่มการลงทุนในระบบตรวจสอบสต็อก ทำให้อัตราสูญหายลดลงเหลือไม่เกิน 1%, อัตราการลาออกลดลงถึง 3 เท่า และในเวลาเพียง 2 ปี ขยายสาขาได้ถึง 100 สาขา
จากร้านขาดทุนสู่กว่า 15,595 สาขาทั่วประเทศ

ภายในปี 2005 ร้าน 7-Eleven ในไทยมีมากกว่า 3,000 สาขา และเติบโตต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีกว่า 15,595 สาขาทั่วประเทศ
แบ่งออกเป็น
- ต่างจังหวัด 9,044 สาขา (คิดเป็น 58%)
- กรุงเทพฯ และปริมณฑล 6,551 สาขา (42%)
- สาขาแบบเดี่ยว (Stand-Alone) 13,401 สาขา (86%)
- สาขาในปั๊มน้ำมัน ปตท. 2,194 สาขา (14%)
สาขาในต่างประเทศ
- กัมพูชา 123 สาขา
- สปป.ลาว 18 สาขา
ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 กำไรโตเกือบ 36%
7-Eleven ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในด้านรายได้และกำไรสุทธิ
- รายได้จากการขายและบริการ 117,706 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน)
- กำไรขั้นต้น 34,494 ล้านบาท
- กำไรสุทธิ 9,155 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 35.8% จากไตรมาส 2 ปีที่แล้ว)
ทำไม 7-Eleven ต้องเติมเครื่องดื่มจากด้านหลัง?

แนวคิดนี้เกิดที่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากพื้นที่จำกัด ทำให้ตู้แช่ขนาดใหญ่แบบอเมริกาเข้าไปในร้านไม่ได้ ทีมงานญี่ปุ่นโดยคุณ “โมริโอะ คางาวะ” จึงออกแบบตู้แช่ใหม่ให้สามารถเติมเครื่องดื่มจากด้านหลังได้ตลอดเวลาและมีความเย็นทันเวลา
มีข้อดีคือ
- ไม่รบกวนลูกค้า
- สินค้าเย็นแล้วจะถูกดันมาอยู่ด้านหน้า
- คงความเย็นของสินค้าได้ดีตลอดเวลา
กลยุทธ์การเติบโต Store Business Partner
7-Eleven ในไทยเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้าร่วมเป็น Store Business Partner หรือผู้ลงทุนร่วมบริหารร้าน มี 2 รูปแบบหลัก:
รูปแบบที่ 1
- ลงทุน 1,480,000 บาท (สัญญา 6 ปี)
- ผู้ซื้อแฟรนไชส์เป็น ผู้จัดการร้าน ได้เงินเดือน 29,000 บาท
- มีรายได้จากการปันผลกำไร 20–30% (ตามการควบคุมค่าใช้จ่าย)
รูปแบบที่ 2
- ลงทุน 2,630,000 บาท (สัญญา 10 ปี)
- ได้ส่วนแบ่งกำไร 54% (ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในร้าน)
ทั้ง 2 รูปแบบได้รับคืนเงินค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยเมื่อสิ้นสุดสัญญา
เคล็ดลับความสำเร็จของ Store Partner
- ดูแลร้านด้วยตัวเอง
- มีคนที่ไว้ใจได้มาช่วยงาน
- บริหารทีมให้ดี ป้องกันการทุจริตหรือความเสียหายที่อาจทำให้ถูกยกเลิกสัญญา
สรุป ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในไทยไม่ได้เดินตามสูตรความสำเร็จของอเมริกาหรือญี่ปุ่น แต่ผ่านการลองผิดลองถูก ปรับตัวให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น จนสร้างโมเดลความสำเร็จของตนเอง และกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจค้าปลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย
เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่มีสูตรตายตัว แต่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ ความกล้าในการตัดสินใจ และการลงมือทำอย่างจริงจัง
แหล่งข้อมูล
- https://citly.me/kC5MH
- https://citly.me/wGn12
- https://citly.me/hSCEF
- https://citly.me/vxOQb
- https://citly.me/Igtx7
- https://citly.me/mvIkh
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)