คู่มือคลังสินค้า! Selective Racking คืออะไร?
ปัจจุบันการจัดการคลังสินค้าเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน การเลือกระบบจัดเก็บสินค้าที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม Selective Racking คือหนึ่งในระบบจัดเก็บพื้นฐานที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก เพราะคือรากฐานของประสิทธิภาพในคลังสินค้าที่ช่วยให้การเข้าถึงสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและตรงจุด หากคุณกำลังมองหาชั้นวางของอุตสาหกรรม ที่ให้ความยืดหยุ่นในการจัดการสินค้าคงคลังสูง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Selective Racking ให้มากขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนคลังสินค้าของคุณ
ทำความรู้จัก Selective Racking คืออะไร?
Selective Racking หรือที่รู้จักกันในชื่อ ชั้นวางพาเลทแบบเลือกได้ (Pallet Racking) เป็นระบบชั้นวางของอุตสาหกรรมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการจัดเก็บสินค้าบนพาเลท โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การเข้าถึงพาเลทแต่ละชิ้นได้โดยตรง (100% Selectivity) โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายพาเลทอื่นออกไปก่อน โครงสร้างประกอบด้วยเสา (Uprights) และคาน (Beams) ที่แข็งแรงทนทาน และสามารถปรับระดับความสูงของชั้นวางได้ง่ายตามความสูงของสินค้าที่จัดเก็บ
Selective Racking ใช้หลักการเข้า-ออกของสินค้าแบบ FIFO (First-In, First-Out) ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากรถยก (Forklift) สามารถขับเข้าไปในทางเดินระหว่างแถวของชั้นวางและหยิบพาเลทที่ต้องการได้ทันที
Selective Racking แตกต่างจากระบบอื่นอย่างไร?

Selective Racking ถือเป็นระบบจัดเก็บแบบพื้นฐานที่ใช้พื้นที่ในแนวราบมากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบจัดเก็บความหนาแน่นสูง (High-Density Storage) อื่น ๆ ซึ่งความแตกต่างนี้เองคือสิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นในด้านการเข้าถึงสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
1. Selective Racking vs. Drive-In Racking
Selective Racking ถูกออกแบบมาเพื่อความยืดหยุ่นในการจัดเก็บสินค้าหลากหลาย SKU (Stock Keeping Units) ที่มีการเข้าถึงบ่อยครั้ง โดยเน้นการเข้าถึงโดยตรง 100% ในขณะที่ Drive-In Racking เป็นระบบจัดเก็บที่มีความหนาแน่นสูงกว่ามาก รถยกต้องขับเข้าไปในช่องทางเดินยาวเพื่อวางหรือหยิบสินค้า ทำให้สามารถจัดเก็บพาเลทได้ลึกหลายพาเลทต่อช่อง แต่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงสินค้า และมักใช้กับการจัดการสินค้าแบบ LIFO (Last-In, First-Out) ซึ่งเหมาะสำหรับสินค้าที่มีจำนวนมากต่อ SKU และไม่เน่าเสียง่าย (Homogeneous Products)
ดังนั้น หากธุรกิจของคุณมีสินค้าหลากหลายและต้องการความรวดเร็วในการจัดการแต่ละรายการ Selective Racking จึงตอบโจทย์มากกว่า
2. Selective Racking vs. Push Back/Pallet Flow Racking
ทั้ง Push Back Racking และ Pallet Flow Racking เป็นระบบจัดเก็บแบบไดนามิกที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความหนาแน่นในการจัดเก็บ Selective Racking ให้การเข้าถึงแต่ละพาเลทได้ทันทีและใช้รถยกมาตรฐาน ส่วนระบบ Push Back Racking จะใช้รถยกดันพาเลทที่อยู่ด้านในให้ถอยไปตามราง และ Pallet Flow Racking ใช้แรงโน้มถ่วงให้พาเลทไหลจากด้านหลังมาด้านหน้า ทั้งสองระบบมีความซับซ้อนและมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูงกว่า Selective Racking มาก แต่ก็ช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากกว่าเช่นกัน
โดยทั่วไปแล้ว Selective Racking จะถูกเลือกใช้เป็นอันดับแรกสำหรับคลังสินค้าทั่วไปที่ต้องการความสมดุลระหว่างความจุ ต้นทุน และการเข้าถึงสินค้า
ข้อดีที่ทำให้ Selective Racking เป็นตัวเลือกแรกของคลังสินค้า
- การเข้าถึงสินค้าได้โดยตรง 100% : สามารถเข้าถึงพาเลทแต่ละชิ้นได้ทันที ทำให้การหยิบสินค้าและบริหารจัดการสต็อกเป็นไปอย่างรวดเร็ว
- รองรับสินค้าหลากหลายประเภท (SKUs) : เหมาะสำหรับคลังสินค้าที่มีสินค้าหลายชนิดและขนาดที่แตกต่างกัน
- ความยืดหยุ่นสูง : สามารถปรับระดับคานเพื่อรองรับความสูงของสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างง่ายดาย
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ : เมื่อเทียบกับระบบจัดเก็บความหนาแน่นสูงอื่น ๆ Selective Racking มีต้นทุนในการติดตั้งที่ประหยัดกว่า
- ง่ายต่อการติดตั้งและบำรุงรักษา : โครงสร้างไม่ซับซ้อน ทำให้การติดตั้งรวดเร็วและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงต่ำ
- เข้ากันได้กับรถยกทุกชนิด : สามารถใช้งานร่วมกับรถยก (Forklift Truck) มาตรฐานทั่วไปได้ทุกประเภท
ข้อจำกัดของ Selective Racking
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ Selective Racking ก็มีข้อจำกัดที่ควรทราบ ดังนี้
- การใช้พื้นที่ต่ำ : ระบบนี้ใช้พื้นที่ทางเดินสำหรับรถยกมาก ทำให้ความหนาแน่นในการจัดเก็บต่อพื้นที่ (Square Meter) ต่ำกว่าระบบอื่น ๆ
- อัตราส่วนปริมาณต่อพื้นที่ต่ำ : เหมาะสำหรับการจัดเก็บสินค้าที่มีการหมุนเวียนสูง แต่ไม่เหมาะสำหรับสินค้าที่มีจำนวนมากต่อ SKU และต้องเก็บในปริมาณสูงมาก (Bulk Storage)
- ต้องการพื้นที่คลังสินค้าขนาดใหญ่ : เพื่อรองรับความจุที่ต้องการ จำเป็นต้องมีพื้นที่คลังสินค้าที่กว้างขวางเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นทางเดิน
Selective Racking คือรากฐานของโลจิสติกส์ยุคใหม่

Selective Racking เป็นรากฐานที่สำคัญของประสิทธิภาพในการดำเนินงานของคลังสินค้าส่วนใหญ่ การเข้าถึงสินค้าโดยตรง ความยืดหยุ่นในการจัดเก็บ และต้นทุนที่คุ้มค่า ทำให้มันเป็นตัวเลือกแรกสำหรับธุรกิจที่ต้องการจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
สำหรับผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐาน แบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับขนย้ายวัสดุภายในคลังสินค้าระดับโลกจากประเทศเยอรมนีอย่าง Jungheinrich ผลิต Selective Racking จากวัสดุคุณภาพสูง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและอายุการใช้งานที่ยาวนานในคลังสินค้าทุกรูปแบบ นอกจากนี้ เรายังให้คำปรึกษาเพื่อบูรณาการระบบชั้นวางนี้เข้ากับรถยกไฟฟ้าและโซลูชั่นอื่น ๆ เพื่อให้คลังสินค้าของคุณทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด


