กระทรวงอุตสาหกรรม นำทัพ สถาบันอาหาร – เอสเอ็มอีแบงค์ – สสว. จับมือ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ทำ MOU ปั้น World Food Valley Thailand

ก.อุตสาหกรรม นำทัพ สถาบันอาหาร – เอสเอ็มอีแบงค์ – สสว. จับมือ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ทำ MOU ปั้น World Food Valley Thailand ที่จ.อ่างทอง แห่งแรกของไทยและอาเซียน

รร.อินเตอร์คอนติเนนตัล  กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร นำทัพ สถาบันอาหาร-เอสเอ็มอีแบงค์-สสว. จับมือ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ทำ MOU พัฒนาโครงการ World Food Valley Thailand

World Food Valley Thailand

บนเนื้อที่ราว 1,300 ไร่ ที่จ.อ่างทอง ให้เป็นเมืองนวัตกรรมอาหารอนาคตครบวงจรแห่งแรกของไทยและภูมิภาคอาเซียน หนุนให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ภาคเอกชนรองรับการเกิดใหม่ของภาคการผลิตและบริการ ภายใต้แนวคิด Eco-Industrial Estate พร้อมเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ตอบโจทย์แผนพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ 20 ปี

hh3

นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โครงการพัฒนา World Food Valley Thailand ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยในรูปแบบประชารัฐ และมีการมุ่งเป้าสู่การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอาหารสู่ยุค 4.0

โดยคำนึงถึงอนาคตของประเทศ และพี่น้องประชาชนคนไทยในพื้นที่ สอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายและแผนอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ ของกระทรวงอุตสาหกรรมในอนาคตที่ควรจะต้องมีการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม และการนำผลงานเหล่านั้นไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ ก่อเกิดประสิทธิภาพต่อการพัฒนาประเทศในภาพรวมให้มากขึ้น

hh4

นางอรรชกา กล่าวต่อว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศสู่ยุค 4.0 ควรให้ความสำคัญใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวและการแข่งขันของผู้ประกอบการอาหารไทยให้เข้าสู่ยุค 4.0 หรือให้เป็นนักรบรุ่นใหม่ 2) การจัดระบบการพัฒนาปัจจัยเอื้อต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทยเป็นครัวของโลก เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารไทย

อย่างเช่นการพัฒนา World Food Valley Thailand ที่มีองค์ประกอบในการให้บริการทั้งพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่การให้บริการภาครัฐแบบ One Stop พื้นที่เพื่อการเชื่อมโยงการพัฒนานวัตกรรมและมาตรฐาน ตลอดจนพื้นที่เพื่อการพัฒนากำลังแรงงานภาคอุตสาหกรรม และ 3) การพัฒนาตลาดอุตสาหกรรมอาหารอนาคต และช่องทางการค้าในเวทีสากล เพื่อให้เอสเอ็มอีได้มีโอกาสเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารโลก

hh8

“นอกจากนี้ควรมีการกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการขับเคลื่อนในระยะ 20 ปีข้างหน้าให้ชัดเจน ประกอบด้วย 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1) การเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการ S Curve ในสาขาอาหารให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และการสร้างผู้ประกอบการอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยในเวทีโลก โดยรวมน่าจะต้องมีจำนวนกว่า 20,000 ราย

2) การเพิ่มมูลค่าและผลิตภาพให้มีอัตราการขยายตัวให้ได้ร้อยละ 2 ต่อปี โดยการพัฒนามาตรฐานสินค้าอาหารแปรรูปไทยทั้งรสชาติและมาตรฐานตามที่ตลาดต่างๆ ต้องการ และ

3) การสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถค้าขาย ส่งออกได้บนพื้นฐานของสินค้าที่มีคุณภาพและมีมูลค่าเพิ่มในตลาดเดิมและตลาดใหม่จนทำให้มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ทั้งนี้ ควรมีการกำหนดวิสัยทัศน์ในการทำงานว่า “ประชารัฐร่วมใจประเทศไทยเป็นครัวของโลก” และมีการวัดผลของการทำงานจากส่วนแบ่งในตลาดโลก มุ่งสู่การเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารติดอันดับ TOP 5 ให้ได้ในอีก 20 ปีข้างหน้า”

hh5

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการพัฒนา World Food Valley Thailand ว่า จากการที่สถาบันอาหาร ได้รับมอบหมายจากกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการชี้นำยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการเพิ่มผลิตภาพ นวัตกรรม และมาตรฐานภาคอุตสาหกรรม(SPRING BOARD) ให้เป็นหน่วยงานสำนักงานอย่างเป็นทางการเพื่อประสานการพัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรมอาหาร

ภายใต้แนวนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ 20 ปี ซึ่งเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคการผลิตอาหารแปรรูปมุ่งสู่อุตสาหกรรมอาหาร 4.0 และการพัฒนาอาหารสู่ตลาดการค้าโลก พร้อมการส่งเสริมวิสาหกิจไทยในทุกระดับ และเห็นควรให้มีการพัฒนากลไกการกำกับดูแลการพัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรมกลางน้ำให้เกิดความเชื่อมโยงกับต้นน้ำและปลายน้ำ โดยการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน

hh7

สถาบันอาหาร จึงได้ร่วมกับบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ธนาคารพัฒนาพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอสเอ็มอีแบงค์) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาโครงการ World Food Valley Thailand ขึ้นเพื่อพัฒนาพื้นที่ของบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่จ.อ่างทอง เนื้อที่ประมาณ 1,300 ไร่ ให้เป็นเมืองนวัตกรรมอาหารอนาคตครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยมีแนวทางความร่วมมือในครั้งนี้ดังนี้

  1. ร่วมมือในการศึกษาพัฒนาความเป็นไปได้โครงการพัฒนา World Food Valley Thailand
  2. ร่วมมือในการพัฒนาผู้ประกอบการอาหารและบุคลากร รวมถึงบรรยากาศในการประกอบธุรกิจ(Ecosystem) เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
  3. ร่วมมือในการส่งเสริม ผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยเอื้อ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของประเทศ
  4. แสวงหาความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อให้โครงการ World Food Valley Thailand ประสบความสำเร็จโดยรวดเร็ว และ
  5. ร่วมมือดำเนินกิจกรรม/โครงการอื่นๆ ตามที่ทั้ง 4 ฝ่ายเห็นสมควร

hh6

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โครงการ World Food Valley Thailand จ.อ่างทอง มีเนื้อที่ขนาดประมาณ 1.300 ไร่ มีเป้าหมายในการพัฒนาสู่การเป็นเมืองนวัตกรรมอาหารอนาคตครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

ภายใต้แนวคิด Eco-Industrial Estate พร้อมกับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ที่มีนวัตกรรมการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าของอาหารหรือผลิตภัณฑ์ การพัฒนาธุรกิจ การลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ การสร้างเครือข่ายธุรกิจ การยกระดับสมรรถภาพและความสามารถของกำลังคนอุตสาหกรรมอาหาร รวมไปถึงการอยู่เคียงข้างชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ให้บริการพื้นที่อุตสาหกรรมและบริการงานพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแบบครบวงจร เบ็ดเสร็จเชิงบูรณาการ

ตั้งแต่กิจกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ อาทิ การกำกับดูแลการผลิตและการนำเข้าวัตถุดิบ และปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย บริการวิเคราะห์ทดสอบและการรับรองมาตรฐานของอาหารไทย สามารถเชื่อมโยงการบริการการเงิน เทคนิค ที่ปรึกษา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการออกแบบให้กับผู้ประกอบการด้วยความแข็งแกร่ง 4 ด้าน(ESSE) ได้แก่

  1. พลังงาน เทคโนโลยีและวิศวกรรม (Energy, Technology& Engineering)
  2. การพัฒนาผู้ประกอบการแบบยั่งยืน (Sustainable Development)
  3. การให้บริการครบวงจร (Services with High Value Facilities)
  4. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(Environment-friendly) เป็นต้น

เบื้องต้นคาดว่าภายในปี 2560 จะมีความชัดเจนในรูปแบบการดำเนินงาน และภายใน 3 ปี จะสามารถเริ่มลงมือก่อสร้างได้

hh9

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : sukkamon ngarmsom <sukkamon12@gmail.com>

กองบรรณาธิการเว็บไซต์

ยินดีสนับสนุน SMEs ไทยทุกแบรนด์ ที่ต้องการสร้างความเข้มแข็ง อยากเรียนรู้ พัฒนาธุรกิจ ส่งเสริมความเข้าใจในการตลาด มีความคิดสร้างสรรค์ แบ่งปันเพื่อสังคม ต่อยอดธุรกิจ ให้ประสบความสำเร็จในอนาคต