5 เมกะเทรนด์ที่จะพลิกโฉมหน้าวงการธุรกิจไทยในปี 2030

ว่ากันปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดเทรนด์ปี 2030 คือ การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร ทรัพยากร เทคโนโลยีใหม่ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืน อาจต้องใช้ทรัพยากรของโลก ถึง 3 ใบ

เพื่อรองรับความต้องการของประชากรโลก 8.4 พันล้านคน ในอีก 13 ปีข้างหน้า อีกทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และรัฐ จะเป็นตัวชี้วัดความอยู่รอดทางธุรกิจในอนาคตของแต่ละประเทศทั่วโลก

วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com จะขอนำเสนอ 5 เทรนด์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในปี 2030 จากการคาดการณ์ของบริษัท คอนซัลต์ระดับโลก โรแลนด์เบอร์เกอร์ (Roland Berger) มาดูพร้อมๆ กันเลยว่า ธุรกิจไทยจะเตรียมรับมืออย่างไร

1.ผู้คนจะอายุยืนยาวมากขึ้น และ 1.4 พันล้านคนจะเป็นผู้สูงอายุ

เทคโนโลยีใหม่

ภาพจาก goo.gl/Ur1ZDU , goo.gl/RuiZVP

ในอีก 13 ปีข้างหน้า มนุษย์อาจมีอายุยืนยาว ร่างกายไม่ได้เสื่อมสภาพตามอายุ พูดง่ายๆ ก็คือต่อให้เราอายุเกิน 100 ปี ร่างกายของเราก็ยังไม่แก่ แถมยังทำงานได้ตามปกติ นอกจากผู้คนจะมีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้นแล้ว เทคโนโลยีอัจฉริยะจะช่วยยืดอายุร่างกายให้ทำงานได้นานขึ้น

กออกแบบอวัยวะสามารถสั่งตัดอวัยวะใหม่จากเครื่องพิมพ์สามมิติเพื่อใช้ในการผ่าตัด ขณะที่ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยจะถูกส่งจาก นาโนชิป ที่ฝังในร่างกายไปถึงแพทย์ประจำตัวทันที

สังคมยุคใหม่จะเต็มไปด้วยคน หลายเจเนอเรชั่น ทางองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าในอีก 14 ปี จะมีผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากถึง 1.4 พันล้านคน หรือ 16.5% ของประชากรโลกทั้งหมด 8.4 พันล้านคน

ขณะที่ผู้สูงอายุไทยจะพุ่งสูงถึง 30% ของประชากรทั้งหมด 68.3 ล้านคน คนรุ่นเบบี้บูม จะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเยอะ และการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อทุกอุตสาหกรรมและตลาด แรงงานในอนาคตอย่างแน่นอน

โอกาสที่น่าสนใจของธุรกิจไทย

  • พัฒนาสินค้าและบริการให้น่าใช้ ตอบสนองทั้งฟังก์ชั่นการใช้งาน รสนิยม และความต้องการของผู้สูงอายุยุคใหม่
  • เทคโนโลยีอัจฉริยะจะเข้ามาช่วยดูแลผู้สูงอายุ เช่น สมาร์ตโฮมที่มีระบบเซ็นเซอร์แจ้งเตือนการหกล้ม และ Wearble Device ที่ช่วยบันทึกสุขภาพหรือระบุโลเคชันของผู้สูงอายุแบบเรียลไทม์
  • บริการด้านการเงินและการวางแผนการออมในวัยเกษียณทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
  • บริการรถสาธารณะ เช่น แอพพลิเคชั่นเรียกแท็กซี่สำหรับผู้สูงอายุ และรถยนต์ไร้คนขับ

2. โลกไร้พรมแดนและอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่โตแบบก้าวกระโดด

b2

ภาพจาก goo.gl/ZcD8Qy

ว่ากันว่ากระแสโลกาภิวัตน์ ยังคงมีอิทธิพลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจนถึงปี 2030 ภาคการส่งออกจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี กลุ่มเศรษฐกิจ BRICS จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้นกว่า 2 เท่า

โดยมีมูลค่าทางจีดีพีเป็น 38% ของจีดีพีโลก ขณะที่ประชากรอินเดีย จะแซงหน้าจีน ชนชั้นกลางจะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพาอินเดียก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจในเวทีเศรษฐกิจโลก

โอกาสที่น่าสนใจของธุรกิจไทย

  • วิเคราะห์ซีเนริโอและประยุกต์ใช้กับแผนการลงทุนทำธุรกิจ เพื่อจัดการกับความเสี่ยง และพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจให้ทัดเทียมกับตลาดของกลุ่มเศรษฐกิจ BRICS
  • จับตาตลาดและกลุ่มผู้บริโภคที่จะกลายเป็นขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ เช่น อินเดีย

3.โลกอาจขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ

b3

ภาพจาก goo.gl/Dh1kBh

ความท้าทายใหญ่ที่ทุกคนจะต้องเผชิญร่วมกันก็คือ การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่ผลิตทดแทนไม่ได้ ในปี 2030 จำนวนประชากรโลกจะพุ่งทะยานถึง 8.4 พันล้านคน การเติบโตของชนชั้นกลางจะส่งผลให้ชุมชนกลายเป็นเมือง และเกิดการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว

โดยคาดว่าปี 2030 จะมีคนอาศัยอยู่ในเขตเมืองมากกว่า 5 พันล้านคน โดยเฉพาะในแอฟริกาและเอเชีย ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และโรงงานผลิตไฟฟ้าทำให้เราต้องใช้ทรัพยากรน้ำมากกว่าเดิมเกือบ 40% ที่น่ากังวลก็คือ เราจะมีทรัพยากรมากพอสำหรับความต้องการมหาศาลเช่นนี้ได้ ก็ต่อเมื่อมีโลกมากถึง 3 ใบ

อย่างไรก็ตาม เราอาจเสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนน้ำ ภายใน 50 ปี กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีทรัพยากรน้ำไม่เพียงพอต่อการบริโภค และบางประเทศจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำรุนแรงในปี 2040

โอกาสที่น่าสนใจของธุรกิจไทย

  • ทุกธุรกิจควรวางแผนการจัดการทรัพยากรและพลังงานอย่างฉลาด หรือใช้พลังงานทางเลือกแทนพลังงานจากฟอสซิล
  • ทำงานกับนักจัดการทรัพยากรเพื่อลดทรัพยากรการผลิต หรือเปลี่ยนสินค้าให้เป็นบริการแทน เช่น สื่อสตรีมมิง การบริการระบบคลาวด์และแอพพลิเคชั่น
  • สินค้าและบริการที่คำนึงถึงตลอดวงจรการผลิตและลดของเสียให้เป็นศูนย์หรือ Zero Waste จะเป็นที่นิยมมากขึ้น
  • บรรจุภัณฑ์ในอนาคตจะย่อยสลายได้ตามธรรมชาติทันทีหลังใช้งานเสร็จ หรือแม้กระทั่งกินได้
  • เกิดเทรนด์แฟชั่นใหม่ที่สร้างมูลค่าจากโมเลกุลของผงฝุ่น มลภาวะ และขยะ

4.โลกของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 4.0

b4

ภาพจาก goo.gl/qLBl00

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 จะเปลี่ยนโลกทั้งใบไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างนาโนเทคโนโลยี ไบโอเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ และปัญญาประดิษฐ์ จะกำหนดพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเรา จากการสร้างเครื่องจักรเพื่อผ่อนแรงทุ่นแรงเพื่อผลิตให้มากที่สุด

มนุษย์จะเข้าสู่ยุคที่เครื่องจักรและหุ่นยนต์สื่อสารกันเอง และสร้างระบบการผลิตที่ไม่ต้องพึ่งแรงงานมนุษย์ เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ จะผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มในคราวเดียว หรือ Mass Customization ในแบบที่ Mass Production ทำไม่ได้ เครื่องจักรจะสร้างเครื่องจักรด้วยกันเอง

ทุกกิจกรรมและความเคลื่อนไหวบนโลกออฟไลน์จะถูกแปรเป็นข้อมูลดิจิตอล ภาพเสมือนจริงจากเทคโนโลยี Virtual Reality จะทับซ้อนกับความเป็นจริงจนแทบแยกกันไม่ออก คนที่จัดการวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้าได้เหนือชั้นกว่า

จะเป็นฝ่ายได้เปรียบในสมรภูมิทางการค้า ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ จะทำให้การขนส่งเดินทางและระบบโลจิสติกส์เป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น แต่โลกอนาคตอันแสนสะดวกสบาย อาจต้องแลกมาด้วยภัยคุกคาม การก่อการร้ายรูปแบบใหม่ และการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว โดยที่เราไม่รู้ตัว หรือแม้แต่ถูกหุ่นยนต์แย่งงานทำ

โอกาสที่น่าสนใจของธุรกิจไทย

  • บริษัทใหญ่ๆ ต้องปรับตัว เช่น จับมือกับบริษัทไอทีหรือเทกสตาร์ตอัพ พัฒนานวัตกรรมและสินค้าบริการให้ทัดเทียม
  • อาชีพที่จะมาแรงคือ นักออกแบบสื่ออินเตอร์เฟสและมัลติมีเดียสำหรับ Virtual Reality และ Augmented Reality นักมานุษยวิทยาหุ่นยนต์ นักออกแบบปัญญาประดิษฐ์ ขณะที่อาชีพเกี่ยวกับธุรการในออฟฟิศจะค่อยๆ ลดบทบาทและสูญหายไป
  • บิ๊กดาต้าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจและเพิ่มความปลอดภัยในโลกออนไลน์

5. ผู้บริโภคจะเรียกร้องหาความเป็นธรรม ความรับผิดชอบทางสังคมมากขึ้น

b5

ภาพจาก goo.gl/2KFLgH

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่โครงสร้างประชากร โลกาภิวัตน์ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบสุดขั้ว การขาดแคลนทรัพยากร ความเท่าเทียมกันทางเพศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การปฏิรูปการศึกษา สิ่งเหล่านี้นำไปสู่คำตอบที่ว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องครอบคลุมทั้งระดับสังคม เศรษฐกิจ และประเทศ

ผู้บริโภคจะเรียกหาความเป็นธรรมมากขึ้น และยินดีสนับสนุนธุรกิจที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะค้นคว้าข้อมูลเอง หรือทำงานร่วมกับผู้ผลิตท้องถิ่นโดยตรง ถ้าหากสินค้าและบริการมาจากการผลิตที่เอาเปรียบแรงงานและละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้บริโภคยุคใหม่ก็พร้อมจะตั้งคำถาม ตรวจสอบ ต่อต้าน หรือเลิกซื้อสินค้า/บริการแบรนด์นั้นๆ ทันที

โอกาสที่น่าสนใจของธุรกิจไทย

  • แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลของบริษัท / องค์กรเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส (Open Data)
  • วางแผนการพัฒนาธุรกิจ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมกันทางเพศ และสิทธิมนุษยชน

ทั้งหมดเป็น 5 เมะกะเทรนด์ที่คาดว่าจะเปิดขึ้นในปี 2030 ทีมงานคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจภาคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการเตรียมตัวรับมือกับปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งธุรกิจที่ปรับตัวได้ทัน หรือธุรกิจที่มองเห็นความต้องการผู้บริโภค น่าจะมีโอกาสกับเทรนด์ที่ของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2030


Tips

  1. ผู้คนจะอายุยืนยาวมากขึ้น และ 1.4 พันล้านคนจะเป็นผู้สูงอายุ
  2. โลกไร้พรมแดนและอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่โตแบบก้าวกระโดด
  3. โลกอาจขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ
  4. โลกของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 4.0
  5. ผู้บริโภคจะเรียกร้องหาความเป็นธรรม ความรับผิดชอบทางสังคมมากขึ้น

อ้างอิงข้อมูล goo.gl/VYoPC0

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช