5 วิธีโฆษณาสินค้า ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสได้ดีเว่อร์

ในยุคสมัยของธุรกิจ การเปลี่ยนวิกฤติ ให้เป็นโอกาส ดูจะเป็นเรื่องที่สินค้าหลายชนิดใช้กลยุทธ์เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี แตกต่างกันที่ว่าใครจะทำเรื่องเหล่านี้ได้เนียนกว่ากัน เพราะอย่าลืมว่าในช่วงเวลาวิกฤติหากคิดจะโฆษณาขายแต่สินค้าย่อมทำให้คนไม่สนใจ

และมองว่าเป็นการหากำไรที่ไม่สนใจสังคมผลลบจะมากกว่าด้านบวกทั้งนี้ก็ต้องเลือกวิธีที่กลมกลืนและทำให้คนทั่วไปสนใจในสินค้าไปพร้อมๆกันด้วย ยกตัวอย่างสำคัญในช่วงที่ไม่นานมานี้กับศึกเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาแบรนด์สินค้าต่างๆ ก็ขยันขันแข็งจับเอาสถานการณ์นี้มาเป็นประโยชน์ทางการค้า

ซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com มองว่านี่คือหนึ่งในกระแสที่สินค้าต่างพากันเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์นี้สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างซึ่งก็พอจะรวบรวมแนวทางของการทำโฆษณาในแนวนี้มาให้ดูเป็นตัวอย่างได้สัก 5 แนวทางเพื่อเจ้าของสินค้าท่านใดที่ชื่นชอบการตลาดแบบนี้จะได้มีไกด์ไลน์ไว้ใช้ต่อไป

1.สินค้าต้องใจกล้าที่จะนำเสนอเนื้อหาให้ชัดเจน

การเปลี่ยนวิกฤติ

ภาพจาก goo.gl/B0WWst

เรียกว่าอย่าไปทำกล้าๆกลัวๆ ถ้าเลือกจะเล่นกับกระแสสังคมแล้วก็กระโดดเกาะให้ติดแต่ก็ดูทิศทางให้ดีว่าจะเลือกจับกระแสด้านไหน อย่างในการเลือกตั้งที่ผ่านมาของสหรัฐในช่วงเริ่มต้นของการออกหาเสียง ไม่ค่อยมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่แสดงความกระตือรือร้นที่จะปรากฏภาพของตัวเองอยู่บนเวทีในฝั่งของทรัมป์สักเท่าไหร่ด้วยเกรงว่าจะทำให้ภาพลักษณ์สินค้าตัวเองเสียหายไปด้วย

แต่บนโลกออนไลน์ แบรนด์อย่าง Johnnie Walker, Snapple, Excedrin (ซึ่งเป็นยาแก้ปวด) กลับเลือกที่จะคว้าโอกาสนี้ไปกับทรัมป์ และพบว่าสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้ดีเยี่ยม

โดยสินค้าเหล่านี้มองว่าโอกาสที่คนจะสนใจในตัวทรัมป์นั้นยิ่งคนระแวงเท่าไหร่ความสนใจก็ยิ่งมากการทำโฆษณาโดยเอาทรัมป์มาเป็นจุดขายอย่าง Excedrin ที่บอกใช้รูปภาพของทรัมป์มาพร้อมกับบรรยายใต้ภาพว่า “ถ้ารู้สึกปวดหัว Excedrin คือทางออก” ก็ทำให้คนรู้จักสินค้าได้มากขึ้น

2.การสร้างไอเดียการค้าอย่ายึดติดกับข้อมูลจาก Facebook และ Twitter มากเกินไป

ui37

ภาพจาก goo.gl/QvdJWG

ในสถานการณ์ที่ก้ำกึ่งหรือเป็นช่วงที่ปัญหายังคุกรุ่นนั้น การหยิบจับประเด็นใดมาเล่นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่ใช่น้อย และทางที่ดีก็อย่าหวังใช้ข้อมูลจาก Facebook และ Twitter มากเกินไปนัก

เพราะระบบของ Facebook เองที่มีการใช้ AI เข้ามาหยิบจับข่าวในการเผยแพร่ก็อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ ทางที่ดีเจ้าของสินค้าต้องวิเคราะห์สถานการณ์และสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับตัวสินค้าจะช่วยทำให้การโฆษณามีประสิทธิภาพได้อย่างตรงจุดมากกว่า

3.สร้างแคมเปญให้เด่นชัดที่สุด

ui38

ภาพจาก goo.gl/6uIQjW

เราจะเห็นตัวอย่างเรื่องนี้ได้ชัดเจนจากสินค้าประเภทยาแก้ปวดยี่ห้อ Excedrin ที่ใช้กระแสเลือกตั้งออกมาสร้างแคมเปญ #DebateHeadache โดยให้คนในโลกโซเชี่ยล ได้มีส่วนร่วมในการโหวตว่าศึกการเลือกตั้งนั้นทำให้รู้สึกปวดหัวได้มากน้อยแค่ไหน

แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากร่วมโหวตว่าเป็นเรื่องที่ปวดหัว และของขวัญจากกติกานี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากยาแก้ปวดของ Excedrin ที่ทั้งมอบเป็นของขวัญและติดแบรนเนอร์โฆษณาทำให้คนรู้จักมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

4.ชิงพื้นที่โฆษณาก่อนได้เปรียบกว่า

ui39

ภาพจาก goo.gl/th6spR

อย่าลืมว่าธุรกิจยุคนี้แข่งกันที่ความไว ในสถานการณ์บางอย่างหรือกระแสสังคมที่คนสนใจหากเราปล่อยเวลาให้ผ่านเนิ่นนานไปสินค้าเราจะไม่ใช่เจ้าแรกที่พูดถึงเรื่องนี้ซึ่งทางจิตวิทยาแล้วใครก็ตามที่อิงกระแสได้ก่อนจะเรียกว่าผู้นำและใครก็ตามที่ทำโฆษณาตามหลังจะถูกมองว่าเลียนแบบไปโดยปริยาย

ด้วยเหตุนี้การช่วงชิงพื้นที่ก่อนจึงมีความได้เปรียบเสียเปรียบมาก เห็นจากสินค้าจำนวนไม่น้อยที่หลังจากกระแสสังคมไม่นานก็ปล่อยภาพโฆษณาออกมาล้อเลียนบ้าง ตามแต่สถานการณ์ซึ่งก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่เจ้าของสินค้าต้องศึกษาแนวทางไว้ให้ดี

5.ต้องรู้จักการตอบโต้โฆษณาของคู่แข่งที่ทำให้ตัวเองได้ประโยชน์ด้วย

ui42

ภาพจาก goo.gl/mCDZq9

เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางกรณีที่การทำโฆษณาอิงกับกระแสต่างๆ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากปัจจัยรอบด้านแม้กระทั่งสินค้าคู่แข่งเองที่อาจกระโดดเข้าร่วมในการคอมเมนต์นี้ หรือแม้แต่การออกแบบโฆษณามาหักล้างกันก็เป็นการแข่งขันที่ดูจะดุเดือดมากทางที่ดีสินค้านั้นต้องรู้จักการตอบโต้ในแบบที่ตัวเองได้ประโยชน์ด้วย

เช่น กรณีของขนม Skittle ที่ถูก Eric Trump เผยแพร่ภาพของชามใส่ขนม Skittle และแคปชั่นว่า “If I had a bowl of skittles and I told you just three would kill you.Would you take a handful? That’s our Syrian refugee problem.”

โดยบริษัทผู้ผลิตขนม Skittle อย่าง Wrigley ได้ออกมาตอบโต้ทันควันว่า “Skittles are candy; refugees are people.” ถือเป็นการตอบโต้กันแทบจะในทันที และผู้บริโภคก็ได้รับอรรถรสในครั้งนี้ส่วนสินค้าจะขายได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับความพอใจของลูกค้าต่อเหตุการณ์นั้นๆด้วย

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามหากคิดจะเอากระแสสังคมมาเป็นตัวแปรในการทำโฆษณาเราก็ต้องพิจารณาให้รอบด้านถึงความเหมาะสมเพราะกระแสบางครั้งก็อิงกับความรู้สึกของคนหมู่มากหากจับเรื่องผิดพลาดแทนที่จะได้ผลบวกจะกลายเป็นผลลบที่นอกจากยอดขายไม่เพิ่มยังอาจจะเสี่ยงลดลงได้อย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/JQQMvv

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด