4 วิธีคิด! ธุรกิจที่ทำนั้นคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่

เรื่องสำคัญที่หลายคนกังวลในการที่จะก้าวออกมาทำ กิจการตัวเอง ทำแล้วมันจะคุ้มไหม ? แล้วมันจะทำให้มีรายได้เท่าไหร่ ? เมื่อไหร่จะคืนทุนกันนะ ? เมื่อเริ่มคิดลงมือทำ คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาก หาคำตอบไม่ได้ธุรกิจมันก็เลยไม่เกิด เรียกได้ว่า “เจ๊ง” กันตั้งแต่ความคิดเลยทีเดียว

www.ThaiSMEsCenter.com มี4 วิธีคิดสำหรับทุกคนที่อยากลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว หรือต้องการเป็นนายตัวเอง ด้วยวิธีที่ว่านี้จะทำให้เรารู้ว่าคุ้มค่าแค่ไหนกับกิจการที่เราอยากจะทำ

1.ขายได้มีกำไรไหม?

กิจการตัวเอง

ยกตัวอย่างง่ายๆ กับร้านขายกาแฟสดยอดนิยมคือเช่าพื้นที่วางคีออส ข้าง ๆ บริษัท 12,000 ต่อเดือน จ้างลูกน้อง 8,500 ต่อเดือน ขายได้วันละ 60 แก้วเฉลี่ยแก้วละ 35 บาท ขายได้เดือนละ 20 วัน

ต้องจ่ายค่าน้ำแข็งต่อเดือนประมาณ 6,000 ค่าแก้วใบละ 5 บาท ค่าเมล็ดกาแฟ 3,000 บาทต่อเดือน ค่านมข้นหวาน 2000 ค่าน้ำตาล 1,000 ค่าน้ำ ค่าไฟ 3,000 บาท

คำถามก็คือว่า ร้านกาแฟนี้ขายแล้วมีกำไรไหม ? โดยใช้ วิธีคิดกำไร = ยอดขาย – (ต้นทุนคงที่ + ต้นทุนผันแปร) จะพบว่ามียอดขายประมาณ42,000 ต้นทุนคงที่ประมาณ 20,500 ต้นทุนผันแปรอีกประมาณ 21,000

ซึ่งจะทำให้เหลือกำไรน้อยมากๆ และเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ก็จำเป็นต้องตัดรายจ่ายบางส่วนที่ไม่สำคัญออกเช่น เลิกจ้างลูกน้องแล้วหันมาทำเองหรือการหาทำเลใหม่ที่ค่าเช่าถูกลงแต่ปริมาณลูกค้าไม่น้อยกว่าเดิม แน่นอนว่าถ้าเรารู้จักพิจารณาเรื่องพวกนี้ก็ทำให้เรามีวิธีรับมือและสามารถเพิ่มกำไรให้การทำธุรกิจเราได้มากขึ้น

2.หาหน่วยขายที่คุ้มทุน

e3

หรือพูดง่ายคือรู้จักคิดก่อนว่าขายเท่าไหร่แล้วจะไม่ขาดทุนในวันนั้นๆ ซึ่งก็มีสูตรคำนวณที่เป็นระบบให้สามารถอ้างอิงเอามาใช้ได้ เช่น จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่/(ราคาขายต่อหน่วย – ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย) ถ้าเรายกเอาตัวเลขของข้อที่ 1 มาเป็นเกณฑ์ก็จะพบว่า

ปริมาณคุ้มทุนที่ต้องขายได้อยู่ที่ 58 แก้วต่อวันแต่ถ้าเราเป็นคนทำเองก็เท่ากับต้นทุนจะน้อยลงทำให้ปริมาณการขายคุ้มทุนก็ลดน้อยลงเหลือประมาณ 35 แก้วต่อวันดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในช่วงแรกคือการลงมือทำเองจะเป็นทั้งการเพิ่มประสบการณ์และทำให้เราลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ที่มากขึ้นด้วย

3.หายอดขายที่คุ้มทุนและสมควรทำให้ได้ใน 1 วัน

e4

หรือจะเรียกว่าเป็นรายได้สุทธิหลังการหักค่าใช้จ่ายจิปาถะ ที่ควรให้อยู่ในสัดส่วนที่ควรจะเป็นเพื่อให้ถึงเวลาสิ้นเดือนจะได้มียอดขายที่เรียกว่ากำไรได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ซึ่งวิธีการคำนวณส่วนใหญ่ก็จะใช้ สูตรการคำนวณดังนี้

ยอดขายที่คุ้มทุน = หน่วยขายที่คุ้มทุน x ราคาขายต่อหน่วย และก็เช่นกันกับการหาตัวเลขที่ว่านี้จะยิ่งดีมากขึ้นถ้าในช่วงแรกเราลงมือทำเองโดยที่ไม่ต้องจ้างลูกน้องจะช่วยให้ยอดขายที่คุ้มทุนใน 1 วันมีตัวเลขมากขึ้นได้อย่างน่าพอใจทีเดียว

4.ระยะเวลาคืนทุน

e5

คือจำนวนวัน เดือน ปี ที่เงินที่เราลงทุนไปนั้น ก่อให้เกิดผลกำไร เป็นเงินกลับมาได้เท่ากับเงินที่เราลงไปตอนแรก ถ้าสมมุติว่ามีการลงทุนเบื้องต้นในรูปแบบการซื้อแฟรนไชส์ประมาณ 45,000 บาท ได้อุปกรณ์ทุกอย่างที่พร้อมเปิดขายได้ทันที

แต่ถามว่าระยะเวลาคืนทุนจะสั้นหรือยาวก็ต้องขึ้นอยู่กับกำไรในแต่ละเดือนยิ่งถ้าหากเราเริ่มต้นกิจการใหม่ๆแล้วมีลูกจ้างมากบอกได้เลยว่าโอกาสคืนทุนไวนั้นแทบไม่มีแต่กลับกันถ้าเราทำเองบริหารเองไปพลางๆ จะช่วยร่นเวลาคืนทุนให้สั้นได้อย่างมากทีเดียว

ทั้งนี้ถ้าเราดูอีกสักตัวอย่างจาก Warren Edward Buffett เจ้าพ่อแห่งวงการธุรกิจระดับโลกที่เขาเริ่มต้นการทำธุรกิจทุกอย่างด้วยตัวเขาเองทั้งนั้น โดยเมื่อตอน 6 ขวบเขานำเงิน 25 เซนต์ซื้อโค๊กจำนวน 6 แพ็ค และนำมาขาย ในราคา กระป๋องละ 1 เหรียญ และเมื่ออายุ 11 ขวบ เขาเริ่มลงทุนในหุ้น

โดยนำเงินจากการเก็บแต่ก็ซื้อได้แค่ 3 หุ้นในราคาหุ้นละ 38 เหรียญ เมื่อซื้อแล้วราคาได้ตกมา 27 เหรียญ แต่เมื่อหุ้นกลับขึ้นมาอีกที เขาก็ขายไปที่ 40 เหรียญ ด้วยความที่มีหัวธุรกิจ ใจอยากค้าขาย เขายังทำงานพิเศษอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเร่ขายของเคาะประตูตามบ้าน ส่งหนังสือพิมพ์

จนเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขานำเงินสะสมจากธุรกิจต่าง ๆกว่า 1200 เหรียญ ไปซื้อที่ดินราว ๆ 100 ไร่ เพื่อให้คนเช่าทำการเกษตร เรียกว่าเป็นการนำเงินไปต่อเงินอีก จนทุกวันนี้ Warren Edward Buffett คือบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

แต่เขาก็มีคำกล่าวเดียวสำหรับผู้ลงทุนทุกคนที่อยากประสบความสำเร็จนั้นคือ “อย่าขาดทุน” เพราะแค่คำเดียวนี้แต่ถ้าเราทำได้โดยรู้จักประมาณตน รู้จักการตลาด รู้จักการวางแผน ไม่ต้องเริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่แต่ก็ทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

แม้จะฟังดูว่าธุรกิจเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่หลายคนก็มั่นใจว่าโอกาสทางธุรกิจยังคงเปิดกว้างอีกมากขอเพียงมีแนวทางที่ดีรู้จักการทำธุรกิจที่แท้จริงเริ่มต้นไม่ต้องใหญ่เราก็สามารถยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด