3 สิ่งควรรู้ไว้ก่อน! แม้จะขายของดี ก็เจ๊งได้

หลายคนอาจไม่เชื่อว่า การขายของดี เป็นเทน้ำเทท่า สามารถขาดทุนหรือเจ๊งได้ ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว อาจเป็นไปได้น้อยมาก ที่อยู่ดีๆ ธุรกิจทีกำลังขายดิบขายดี ของทุกอย่างที่นำมาขายหมดในพริบตา จะมาเจ๊งได้ แต่ในความจริงเรื่องของการขาดทุน หรือธุรกิจเจ๊ง ไม่จำกัดว่าคุณจะขายของดีหรือไม่ แต่อยู่ที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่พ่อค้าแม่ค้าต้องรู้ไว้

วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com ขอนำเสนอข้อคิดดีๆ ในการค้าขายไม่ให้เจ๊ง จากธนาคารไทยพาณิชย์ มาฝากผู้ประกอบการ เจ้าของร้านค้า พ่อค้าแม่ค้า ให้จงตระหนักเสมอว่า แม้จะขายของดี ก็สามารถเจ๊งได้

1.ขายดี แต่ไม่เคยมีกำไร

การขายของดี

หลายคนทำธุรกิจแล้วอาจจะเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมยิ่งขายก็ยิ่งจน แม้ว่าเราจะขายสินค้าแพงกว่าราคาที่ซื้อมา แต่ไม่มีกำไรเลย เรื่องนี้นักธุรกิจมือใหม่อาจจะพบปัญหานี้เยอะ เท่าที่สังเกตมาเป็นเพราะว่า เรามักจะคิดแค่ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า จนลืมต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการ

ตัวอย่างเช่น นักธุรกิจบางคนอาจจะคำนวณว่า หากเขาขายของที่ลูกค้าสั่งทำทั้งหมด จะได้กำไร 2,000 บาท แต่เขาอาจจะลืมไปว่า มันยังมีต้นทุนส่วนอื่นๆ อีกเช่น ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วน ค่าแรงตัวเอง และค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางนั้นก็เป็นต้นทุนเช่นกัน ไปๆ มาๆ ต้นทุนอื่นๆ คำนวณออกมาที่ 3,000 ไป แบบนี้ต่อให้ขายดีแค่ไหน ก็ไม่มีกำไรแน่ๆ

ดังนั้น คุณควรสนใจรายละเอียดของต้นทุนทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน และนำมาพิจารณาว่า คุณควรจะขายสินค้าอย่างไรให้ได้กำไรสูงสุด

2. รวยดี แต่ไม่มีเงินหมุนเวียน

ll40

นักธุรกิจบางคนอาจจะขายของเก่งมาก มีลูกค้าสั่งหรือใช้บริการทุกวัน แต่พอสำรวจเงินสดในกิจการแล้ว กลับไม่พบเงินในกระเป๋าอย่างที่คิด อาจจะเป็นเพราะว่า มีการทำธุรกิจโดยให้มีเครดิตเทอมที่ยาวนาน และลืมไปว่าตัวเขาเองก็มีหน้าที่จะต้องนำเงินไปชำระรายจ่ายเรื่องต่างๆ เช่น ผู้ผลิตที่เราสั่งสินค้ามาขาย ค่าแรงคนงาน เงินเดือนลูกน้อง ค่าเช่าสถานที่

หากเราขายของแล้วเก็บเงินไม่ได้ซักที แถมยังมีรายจ่ายจ่อคอหอยอยู่เรื่อยๆ นั่นก็เท่ากับว่า เราไม่สามารถหมุนเงินให้เกิดประโยชน์ได้ และเมื่อใดก็ตามเงินสดที่มีอยู่ในมือนั้นหมดไป กลายเป็นว่าอาจต้องพึ่งพาเงินกู้จากที่ต่างๆ จนทำให้ยิ่งทำธุรกิจเรายิ่งจนลง เพราะดอกเบี้ยจากการยืมเงินมาหมุนในกิจการ แถมเป็นการสร้างผลกำไรให้กับเจ้าหนี้แทนอีกต่างหาก

ดังนั้น การบริหารกระแสเงินสดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เงินสดควรเก็บจากลูกค้าให้ได้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในระหว่างการนำไปชำระเงินให้กับเจ้าหนี้ และจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ

3. ไม่แยกเงินส่วนตัว และเงินธุรกิจ

ll43

นักธุรกิจมือใหม่นั้น เมื่อตั้งบริษัทขึ้นมา อาจจะมีความเข้าใจผิด หรือแยกไม่ออกในเรื่องเงินบริษัทและเงินส่วนตัว เมื่อขายของได้ก็นำเงินไปจับจ่ายใช้สอย เพราะคิดว่าได้เงินได้กำไรมาแล้ว เอาไปสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ทั้งหมด แต่กลายเป็นว่า นำเงินบริษัทไปซื้อของ เที่ยวต่างประเทศ จ่ายค่าเทอมลูก

พอถึงจุดๆ หนึ่งก็จะพบว่า เงินทุนในกิจการนั้นหายไป และอาจจะโชคร้ายกว่านั้น เมื่อถูกสรรพากรตรวจสอบรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นของบริษัท เมื่อไม่สามารถแจ้งที่มาที่ไปของเงินบริษัทที่หายไปได้

ดังนั้น การทำธุรกิจควรจะแยกกระเป๋าเงินของกิจการออกจากเงินส่วนตัวของเรา ธุรกิจมีรายรับรายจ่ายอะไรก็ควรบันทึกเอาไว้ว่าปัจจุบันมีเงินเหลือเท่าไหร่ และควรนำเงินไปทำอะไรเพื่อให้บรรลุความสำเร็จของธุรกิจ

ในส่วนของเงินส่วนตัวนั้นเราจะได้มาในฐานะลูกจ้างของกิจการ เช่น ค่าจ้างหรือเงิน ควรแยกทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อวางแผนสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ให้ใช้จ่ายตามที่มี เหลือก็เก็บออมและนำไปลงทุนต่อเพื่อให้บรรลุความสำเร็จทางการเงินส่วนตัวได้

เห็นหรือยังว่า ต่อให้คุณขายของดีแค่ไหน ถ้าไม่รู้จักแยกเงินส่วนตัวออกจากเงินของกิจการ ก็ทำให้เจ๊งได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น แล้วการสร้างระบบเพื่อตรวจสอบเงินทองทั้ง 2 กระเป๋าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักธุรกิจไม่ควรพลาด

ทั้งหมดเป็น 3 เรื่องที่ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้า ต้องรู้ไว้ ถ้าไม่อยากขายของดีจนเจ๊ง หวังว่าความรู้ข้างตนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าทุกท่านครับ

อ่านบทความ SMEs goo.gl/d4AfdD
อ่านบทความค้าขาย goo.gl/iXVAGB


Tips

  1. ขายดี แต่ไม่เคยมีกำไร
  2. รวยดี แต่ไม่มีเงินหมุนเวียน
  3. ไม่แยกเงินส่วนตัว และเงินธุรกิจ

อ้างอิงข้อมูลจาก goo.gl/hZFot8

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช