3 กลยุทธ์สร้างแบรนด์สุดแกร่งจาก Nike

โจทย์สำคัญใน การทำตลาด คือต้องทำอย่างไรให้สินค้านั้นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องการ หรือจะทำอย่างไรเพื่อให้คนนึกถึงสินค้าเราเป็นอันดับแรกสำหรับการซื้อ การที่จะได้มาซึ่งความสำเร็จที่ว่านี้ย่อมต้องมีแผนการตลาดชนิดที่แข็งแกร่งมาก

ที่สำคัญคือมีจุดยืนในแบรนด์ตัวเองอย่างเต็มที่และเดินหน้าไปตามทิศทางที่ไม่ขัดแย้งแม้บางครั้งอาจดูไม่เข้าท่าแต่แบรนด์ที่ดีต้องมุ่งมั่นและสร้างภาพลักษณ์นั้นให้ติดใจผู้คนย่อมนำมาซึ่งผลสำเร็จชนิดที่คาดไม่ถึงได้เชนกัน

www.ThaiSMEsCenter.com มีตัวอย่างแผนการตลาดของ Nike ที่แม้ไม่ใช่แบรนด์อุปกรณ์กีฬาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแต่นี่คือแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้คนอย่างมาก กว่า 40 ปีที่ Nike อยู่ในตลาดอุปกรณ์กีฬาเรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาและเป็นลำดับต้นๆของส่วนแบ่งการตลาดที่เราควรจะเรียนรู้ว่า Nike เขาทำอย่างไรจึงได้มาซึ่งความสำเร็จมากมายเหล่านี้

1.เลือกลงทุนใช้นักกีฬาชื่อดังขับเคลื่อนธุรกิจ

การทำตลาด

ภาพจาก goo.gl/QQVn0Q

แน่นอนว่าการเลือกลงทุนกับนักกีฬาดังระดับโลกย่อมหมายถึงต้นทุนมหาศาลที่ Nike จะต้องจ่ายออกไปแต่เมื่อคำนวณความคุ้มค่าและภาพลักษณ์ของแบรนด์แล้ว Nike มองว่าโอกาสได้มีมากกว่านั้นทำให้ตลอดมา Nike มุ่งมั่นกับการใช้พรีเซนเตอร์ที่เป็นนักกีฬาดังเป็นหลัก

นักกีฬาคนแรกที่เป็นพรีเซนเตอร์ของ Nike คือ Steve Prefontaine นักวิ่งดาวรุ่งของสหรัฐอเมริกา ผู้ไม่ได้วิ่งเร็วอย่างเดียว แต่มีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวเช่น ผมยาว และทัศนคติที่โผงผาง ด้วยค่าจ้างราว 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ภาพลักษณ์ของ Nike เริ่มดูดุดัน และมีความเก๋าในตัวเอง แม้จะเริ่มก่อตั้งมาเพียง 3 ปี (เวลาในขณะนั้น) ก็ตาม

และจากความเท่นี้เอง บวกกับช่วงทศวรรษที่ 70 กระแส Jogging ในสหรัฐอเมริกากำลังมา ทำให้ Nike ได้แจ็คพอทเรื่องนี้ไปเต็มๆ เพราะกลายเป็นแบรนด์ที่คนดังอยากสวมใส่เวลาออกกำลัง เพื่อยกระดับความเท่ของตัวเอง มากไปกว่านั้นช่วงกลางทศวรรษที่ 80

ทางแบรนด์ได้ร่วมออกแบบรองเท้ากับ Michael Jordan นักบาสเก็ตบอลชื่อดัง เพื่อสร้างรองเท้าบาสฯ รุ่น Air Jordan และด้วยสีสันของรุ่นนี้ไม่ถูกกฎกติกาของ NBA รองเท้ารุ่นนี้จึงถูกแบน แต่ Nike กลับนำเรื่องนี้มาช่วยสร้างแบรนด์ของตัวเอง โดยบอกว่ามันเท่เกินหน้าเกินตาแบรนด์อื่น และ Air Jordan ก็ช่วยบุกเบิกวัฒนธรรม Sneaker ให้โด่งดังเรื่อยมา

2.ฉีกกรอบจนให้แตกต่างใช้ดาราร่วมออกแบบ

iu6

ภาพจาก facebook.com/nike

เรียกว่าการสร้างตัวตนของ Nike ด้วยวิธีฉีกกรอบแต่ดูเก๋าเกมกลายเป็นจุดแข็งของแบรนด์นี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ที่เน้นเรื่องฟังก์ชั่น หรือไม่ได้วางแบรนด์ให้ดูโฉบเฉี่ยวนัก ทำให้ช่วงทศวรรษที่ 90

แบรนด์ Nike กลายเป็นแบรนด์เบอร์หนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดย Sneaker 1 ใน 2 คู่ที่ขาย หนึ่งในนั้นต้องเป็น Nike และยิ่งการออกไปสนับสนุนนักกีฬาเบอร์ต้นๆ มากกว่าเดิม ทำให้การสวมใส่สินค้าของ Nike กลายเป็นการแสดงถึงความเท่ของผู้สวมใส่ด้วย

มากไปกว่านั้นช่วงปีค.ศ.2000 Nike ยังสร้างปรากฎการณ์ด้วยการจ้างศิลปินดาราเข้ามาร่วมออกแบบอุปกรณ์กีฬา โดยเฉพาะรองเท้า เพราะเมื่อศิลปินเหล่านั้นสวมใส่อยู่แล้ว

การนำพวกเขามาเป็นอีกแรงจูงใจในการดึงดูดให้ผู้บริโภคมาสวมใส่ก็เป็นไปได้ โดยคนแรกที่เข้ามาคือ Kanye West หรือ Rapper ชื่อดัง และ Kanye คนนี้ก็คือคนที่ปฎิวัติวงการ Sneaker ด้วยรองเท้าตระกูล Yeezy มาถึงตอนนี้

3.สินค้าที่ดูล้ำกว่าแบรนด์อุปกรณ์กีฬา

iu7

ภาพจาก facebook.com/nike

เมื่อคู่แข่งในตลาดอุปกรณ์กีฬามากขึ้น การจะชูเรื่องความเท่อย่างเดียวก็คงไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น Nike จึงตัดสินใจพัฒนานวัตกรรมรองเท้าที่ผูกเชือกได้เองกับรุ่น HyperAdapt 1.0 ที่ตอนนี้ราคา Resell เกินราคาป้ายที่ 720 ดอลลาร์ไปไกลแล้ว

ประกอบกับการออกสินค้าใหม่ๆ ที่ชูเรื่องนวัตกรรม อย่างล่าสุดที่รุ่น VaporMax รองเท้าตระกูล AirMax รุ่นล่าสุดที่ถูกออกแบบมาให้สวมใส่ได้อย่างสบายอย่างที่ Nike ไม่เคยมีมาก่อน

และเชื่อว่าจากนี้ Nike คงก้าวล้ำคำว่าแบรนด์อุปกรณ์กีฬาไปได้อีกไกล เพราะหลังจากตั้งแบรนด์ย่อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Nike Sportswear ที่เน้นออกแบบรองเท้า และเครื่องแต่งกายให้แฟชั่น และสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน โดยคงเรื่องความเท่เอาไว้

รวมถึง Nike Lab ที่ยกระดับ Sportswear ให้ Premium มากขึ้นด้วยการร่วมออกแบบกับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ดังนั้นจากที่เห็นมา การสร้างแบรนด์ Nike โดยยึกหลักเรื่องความเท่นั้นได้มาไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากที่จะทดลองทำ

ซึ่งไอเดียทางธุรกิจเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าสินค้าใดก็ตามแม้จะมีสัดส่วนการแข่งขันที่สูงแต่หากเรามีแผนการตลาดที่ชัดเจน รู้จักผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างสินค้านั้นให้แตกต่างจากคู่แข่งผลที่ตามมาคือการยอมรับและทำให้เกิดยอดขายมากขึ้น

การแข่งขันในโลกธุรกิจไม่ได้ชี้วัดที่สินค้าอย่างเดียวแต่สิ่งสำคัญคือการสร้างการจดจำ ทำให้คนยอมรับและรู้สึกว่าสินค้านั้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตก็มีโอกาสมากที่จะทำให้สินค้าขายดีแบบถล่มทลายทีเดียว

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S

ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/BujgWH

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด