10 ข้อคิดการทำงานของ “ชิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง”

หลังจาก ขุนพลช้างศึก จากการนำทัพของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2016” สมัยที่ 5 มาครองได้สำเร็จ ได้ส่งผลให้ “บอลไทยฟีเวอร์” กลับมาอีกครั้ง

และน่าจะเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เผลอๆ อาจยิ่งใหญ่กว่าความคลั่งไคล้ที่มีต่อชุดดรีมทีมก็ได้ แรงศรัทธาที่ล้นหลามเป็นปรากฏการณ์นี้ต้องยกเครดิตให้กับ โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

เขาใช้เวลาไม่นานในการกอบกู้ “สปิริต” ของนักเตะให้กลับมาอีกครั้ง ด้วยสไตล์การเล่นต่อบอลกับพื้นที่สวยงาม เกมบุกที่หวือหวาจัดจ้าน ความเฉียบคมในการทำประตู พลังในการวิ่งที่ไม่เคยหมด บวกกับลูกฮึดท้ายเกมที่ไม่เคยยอมแพ้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ทีมชาติไทยคว้าชัยได้บ่อยครั้ง ที่สำคัญเป็นชัยชนะที่ขาวสะอาด มีเกียรติและศักดิ์ศรี สมดังชื่อ “เกียรติศักดิ์”

วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com ขอนำเสนอข้อคิดดีๆ ในการทำงานของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีมชาติไทย ที่สามารถพลิกโฉมวงการฟุตบอลไทย จากหลังมือเป็นหน้ามือ ให้กลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง

ขุนพลช้างศึก

1.ระเบียบวินัยต้องมาก่อน

ซิโก้ขึ้นชื่อในเรื่องของความมีวินัยและความฟิตเป็นอันดับต้นๆ มาตั้งแต่ตอนเป็นนักเตะ เขาให้ความสำคัญมากกว่าเทคนิคการจบสกอร์และท่าตีลังกาหลายเท่า เมื่อมีโอกาสได้มาจับงานโค้ช เขาจึงพกพาทัศนคตินี้มาด้วย

ซิโก้จะมีกฎระเบียบในแคมป์เก็บตัวที่เคร่งครัดมาก เริ่มตั้งแต่การแต่งกายที่เสื้อต้องอยู่ในกางเกงตลอดเวลา เวลานัดต้องมาให้ตรงเวลา ตอนฝึกซ้อมต้องใส่สนับแข้งและถุงเท้ายาว (หลายคนคงจะจำเหตุการณ์ที่เขาฉุนขาด และสั่งลงโทษนักเตะคนหนึ่งด้วยการวิดพื้นต่อหน้าสื่อมวลชน โทษฐานมารายงานตัวทีมชาติด้วยการใส่รองเท้าแตะ)

2.ไม่นิยมเส้นสาย

สิ่งแรกที่ซิโก้ทำเมื่อรับงานคุมทีมชาติ คือ เอาค่านิยมเส้นสาย ลูกท่านหลานเธอออกไปให้หมด วิธีการสร้างทีมของเขาคือ เลือกนักเตะด้วยตัวเอง

คนที่เป็นทีมชาติต้องเก่งที่สุด ไร้เส้นสาย ไม่รับเด็กฝาก ไม่เกี่ยวว่าเล่นให้กับทีมสโมสรเล็กหรือใหญ่ หรือติดทีมชาติมานาน ยกตัวอย่าง กองหน้าดาวรุ่ง “ปีโป้” สิโรจน์ ฉัตรทอง ก็ติดทีมชาติจากสโมสรเล็กๆ

bv1

3.ตั้งเป้าหมายเป็นขั้นเป็นตอน

บอลไทยจะไปบอลโลกเมื่อไหร่ คำถามนี้ถามกันตั้งแต่สมัยยังความได้ บางคนก็ตอบขำๆ ว่า ชาติหน้าก็ยังไม่ได้ไป แต่สำหรับซิโก้ เขากลับมีมุมมองเรื่องนี้ที่ต่างออกไป เขาบอกว่าชาตินี้ไปได้แน่ๆ แต่ต้องเริ่มจากบอลโลกถ้วยเล็กก่อน อย่ามองเป้าหมายแบบรวบรัด ความสำเร็จไม่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน ต้องค่อยเป็นค่อยไป

ตั้งเป้าหมายเป็นขั้นเป็นตอน พัฒนาจากราก เช่น วางแผนทั้งระบบโดยเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปี พาทีมเยาวชนชุด 16 ปีให้ได้แชมป์โลกก่อน แล้วค่อยๆ ขยับเป็น 19 ปี หรือไปถึงขั้นโอลิมปิก ทั้งหมดนี้อาจใช้เวลาหลายปีก็ต้องอดทน “คุณจะไปบอลโลกได้อย่างไร ถ้าโครงสร้างบ้านยังไม่ดี”

4.รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย

เรียกว่าเป็นมิติใหม่ของทีมชาติไทยก็ว่าได้ สำหรับความเป็นมืออาชีพและความเป็นสุภาพบุรุษของซิโก้ ที่ส่งต่อไปถึงนักเตะในทีม นักเตะหลายคนแม้ว่าจะอายุน้อยก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี เล่นในเกมไม่ตุกติก และไม่ว่าผลการแข่งขันจะค้านสายตาผู้ชมมากเท่าไหร่ ซิโก้ก็ไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ในแง่ลบเลยสักครั้งเดียว

ทุกครั้งเขาจะกล่าวยอมรับคำตัดสินของกรรมการ ไม่โทษคู่แข่ง ไม่กล่าวหาว่าโกง ไม่ขี้แพ้ชวนตี ไม่มีดรามา อีกสิ่งที่เราแทบไม่เคยเห็นเลยคือ การให้เกียรติคู่ต่อสู้ หลายครั้งที่ซิโก้กล่าวชื่นชมคู่แข่งที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม

bv2

5.ทำอะไรต้องไปให้สุด และต้องทำด้วยความสนุก

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าซิโก้เคยผิดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด และเคยหนีออกจากบ้านเพื่อทำตามความฝันที่กรุงเทพฯ ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับพ่อแม่มาก แต่เขาก็พิสูจน์ตัวเองด้วยการทุ่มเท และไปให้สุดทางกับอาชีพฟุตบอล จนสามารถสร้างชื่อเสียงเงินทองและเกียรติยศจากฟุตบอลลูกกลมๆ

ซิโก้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร a day bulletin ว่า “ถ้าจะเอาดีต้องเอาดีสักอย่าง ทำอะไรให้ทะลุปรุโปร่ง เก็บขยะขายก็ให้รวยเป็นหมื่นล้าน” ตลอดชีวิตของเขาจึงอุทิศลมหายใจให้กับฟุตบอล

แต่กระนั้นเองเขาย้ำว่าต้องทำด้วยความรักและความสนุก “ผมเป็นแฟนทีมชาติบราซิล ชอบซิโก้ ชอบโรนัลดินโญ่ ชอบเนย์มาร์ เพราะนักเตะเหล่านี้เล่นบอลด้วยความสนุก เขายิ้มตลอดเวลาที่ได้ลงเล่น แพ้ชนะอย่าเพิ่งคิด ถ้าเราทำงานด้วยความสุข มันต้องได้ผลดี”

6.กล้าเสี่ยง ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง

ตลอดอาชีพการเป็นนักเตะและโค้ช ชีวิตซิโก้พบเจอกับความผันผวนบ่อยครั้ง และก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จไปเสียหมด เขาเคยไปค้าแข้งทีม Huddersfield Town F.C. ในอังกฤษหนึ่งปี โดยไม่ได้ลงทีมชุดใหญ่เลยสักนัด และเคยลาออกจากการเป็นโค้ชเพื่อรับผิดชอบการทำงานไม่บรรลุเป้าหมายหลายครั้ง

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขากลัวที่จะเผชิญความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะการรับงาน “เผือกร้อน” ตอนที่ทีมชาติไทยกำลังย่ำแย่ตกรอบซีเกมส์ครั้งแรกในรอบสามสิบปี เขาเล่าความรู้สึกตอนตัดสินใจครั้งใหญ่ว่า

“ตั้งแต่นาทีแรกก็รู้ชะตากรรมว่าต้องแชมป์อย่างเดียว เราทำทีมชาติโดยไม่ได้มีความคิดว่าทำแล้วต้องเป็นดาว ดาวรุ่ง ดาวดับ หรือดาวร่วง แต่เพราะต้องการเห็นวงการฟุตบอลพัฒนา เห็นคนไทยมีความสุขมากกว่า ไม่มีใครอยากแพ้ ทุกคนอยากชนะทั้งนั้น อันดับแรกต้องไม่กลัว ถ้ากลัวก็คงเดินออกจากสนามฟุตบอลไปนานแล้ว”

bv7

7.รู้จักการปล่อยวาง

ซิโก้ยอมรับว่างานโค้ชเป็นงานที่เหนื่อยและกดดันกว่านักเตะหลายเท่า งานโค้ชไม่มีที่สิ้นสุด แม้ชนะก็ต้องมองเกมต่อไป เกมหน้าจะชนะยังไง ถ้าแพ้ก็ต้องทำการบ้านเพิ่ม ต้องทำงานให้หนัก หาองค์ความรู้ใหม่ๆ

แต่เขาบอกว่าจะพยายามไม่นำความเครียดนี้มาที่บ้าน เมื่อเกมจบก็ต้องจบ ต้องรู้จักการปล่อยวาง อะไรก็เกิดขึ้นได้ในกีฬาฟุตบอล แต่เราทำเต็มที่แล้วหรือยัง ถ้าทำเต็มที่แล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นไปบ้างเพราะมันคือเกม ไม่ใช่สงคราม

8.ให้เครดิตผู้ร่วมงาน

ทุกครั้งที่ซิโก้ออกมาให้สัมภาษณ์ คำพูดที่เราได้ยินบ่อยที่สุดคือ “ขอบคุณ” ขอบคุณนักเตะ ขอบคุณสมาคมฟุตบอ ขอบคุณแฟนบอล ขอบคุณสื่อมวลชน ฯลฯ

เขาไม่เคยเอาดีเข้าตัว แต่จะให้เครดิตกับผู้ร่วมงานทุกครั้ง ในอินสตาแกรมส่วนตัว จะเห็นว่าเลยแทบทุกรูปจะเป็นการโพสต์ขอบคุณ โดยเฉพาะรูปหนึ่งที่มีข้อความว่า “ทุกเกมพี่เป็นแค่คนดูอยู่นอกสนาม แต่ในสนามพวกคุณคือคนสร้างความสำเร็จ”

bv3

9.รักครอบครัว

ซิโก้แขวนสตั๊ดในวัย 34 ปี แต่ก่อนหน้านั้นเขาเคยตัดสินใจจะเลิกเล่นหลายครั้ง โดยให้เหตุผลว่า อยากพัก และกลับมาทำหน้าที่พ่อ ช่วยภรรยาดูแลลูก ถามว่า เสียดายไหม ก็เสียดายนะ แต่เงินทองไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับครอบครัวที่รอเราอยู่ที่บ้าน

เขาเป็นแฟมิลี่แมนตัวจริงที่แสดงความรักที่มีต่อลูกและภรรยาสม่ำเสมอ แม้ว่าหลังจากรับหน้าที่โค้ชจะทำให้ไม่ค่อยมีเวลา แต่เขาก็มักจะหาเวลามาอยู่กับครอบครัว และโพสต์อินสตาแกรมรูปลูกและภรรยาให้แฟนบอลได้ซึ้งกันบ่อยๆ

10.ทำเพื่อชาติ

ต้องบอกว่าเรี่ยวแรงของของนักเตะไทยที่ไม่เคยหมดนั้น ไม่ได้เกิดจากระเบียบวินัยอันดีเยี่ยมอย่างเดียว แต่ยังเกิดจาก “หัวใจรักชาติ” ที่ซิโก้พยายามปลูกฝังให้น้องๆ นักฟุตบอล และคนไทยทุกคน รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำเพื่อชาติ

เขาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ manager.co.th และนิตยสาร all ว่า “แค่คุณได้ใส่เสื้อทีมชาติไทยก็ถือว่ายิ่งใหญ่แล้ว ไม่ต้องได้เหรียญ แค่ได้ติดเสื้อธงไตรรงค์ ก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์สูงสุดของครอบครัวกับวงศ์ตระกูลแล้ว”

ซิโก้เปรียบเทียบว่า การได้เป็นนักเตะทีมชาติไทยก็ไม่ต่างอะไรจากการเป็นทหาร “การทำเพื่อชาติไม่ต้องบอกว่าต้องทำหรือไม่ทำ เวลาเกิดสงครามยังไม่เห็นต้องบอกให้ทหารไปออกรบ เพราะมันเป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้องบ้านเมือง นักฟุตบอลเหมือนกัน ถ้าเรามีฝีไม้ลายมือเรื่องฟุตบอล ถึงเวลาทีมชาติ ไม่ต้องบอก ก็ต้องมา เพราะชาติสำคัญที่สุด”

ได้เห็นแนวความคิดในการทำงาน ทำหน้าที่ของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ไปแล้ว ต้องบอกว่าผู้ชายคนนี้สุดยอด ที่สามารถทำให้ชาวไทยทุกคนมีความสุขไปพร้อมๆ กัน
โดยเฉพาะเรื่องของการมีระเบียบวินัย ทำอะไรแล้วต้องมีความสนุก

วางเป้าหมายให้เป็นขั้นเป็นตอน ให้เครดิตเพื่อนร่วมงาน ถือได้ว่าเราทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติ และใช้เป็นแนวทางในการทำงานและดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณรูปภาพจาก goo.gl/YJIfGy

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช