เหลือเชื่อ! ขายครีมซองละ 10 บาท สร้างรายได้ทะลุปีละพันล้านบาท

ตลาดเครื่องสำอางในปี 2564 ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ5.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15.9 ล้านล้านบาท แม้จะอยู่ในภาวการณ์แพร่ระบาดโควิด แต่ดูเหมือนสินค้าความสวยความงามจะยังคงมาแรง เพียงแต่อาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง

ซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com เชื่อว่าหลายคนที่มองเห็นโอกาสและช่องทางยิ่งยุคนี้การตลาดออนไลน์มีอิทธิพลอย่างมาก เราจึงได้เห็นพ่อค้าแม่ค้าหันมาผลิตเครื่องสำอางทั้งที่เป็นแบรนด์ตัวเองหรือในรูปแบบตัวแทนจำหน่าย

และอีกสิ่งที่เด่นชัดคือรูปแบบของสินค้าที่พัฒนาให้มีความกะทัดรัด เหมาะแก่การพกพา เข้ากับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้ขายง่าย ขายดียิ่งขึ้น หากไม่เชื่อในสิ่งที่เราพูดมาดูตัวเลขจาก “ครีมซอง” ที่ขายในร้านสะดวกซื้อที่ไม่น่าเชื่อว่า สินค้าซองละไม่กี่บาทเหล่านี้แต่สร้างรายได้กว่าปีละพันล้านบาท

ธุรกิจครีมซอง ยอดขายพันล้านบาท?

ขายครีมซองละ

ภาพจาก www.facebook.com/julaherb/

สิ่งที่เห็นเด่นชัดในร้านสะดวกซื้อคือบรรดาผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ โดยมีสกินแคร์แบบซองและเครื่องสำอางแบบซองวางเรียงรายไม่ต่ำกว่า 50 ผลิตภัณฑ์ หากสังเกตจะพบว่าทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ หรือจะเป็นแบบจ้างผลิต (OEM) ต่างหันมาทำผลิตภัณฑ์ไซส์เล็กที่พกพาง่าย หรือ “ครีมซอง” ในราคาหลักสิบกันนับไม่ถ้วน และจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ยกตัวอย่าง “ครีมซอง” ขายดีอย่าง Jula´s Herb ที่เริ่มต้นจากครีมสมุนไพรหมอจุฬา ตั้งต้นธุรกิจด้วยเงินทุน 8,000 บ. และมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าหลัก คือ เว็บไซต์ creamjula ต่อมาได้รีแบรนด์เป็น Jula´s Herb พร้อมแตกไลน์สกินแคร์แบบซอง เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ภายใต้ บริษัท เจแอลซี กรุ๊ป จำกัด และหลังจากได้เข้าร่วมวางสินค้าใน 7-Eleven ถือเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่มีรายได้ในปี 2563 กว่า 1,441 ล้านบาท กำไรกว่า 238 ล้านบาท

11

ภาพจาก www.facebook.com/julaherb/

หรือแบรนด์ดังอย่างสมูทโตะของบริษัท โกลบอล เมดดิคัล (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน โดยสมูทโตะมีกำลังการผลิตประมาณ 5 ล้านซอง/เดือนมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย, ไต้หวัน, มาเลเซีย, พม่า, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และฮ่องกงแต่สัดส่วนรายได้ประมาณ 90% จะมาจากการขายผ่านร้าน 7-Eleven รายได้ในปี 2562 กว่า 655 ล้านบาท กำไรกว่า 38 ล้านบาท

ทำไม “ครีมซอง” คนถึงฮิต?

10

ภาพจาก https://bit.ly/3rjWrZp

1.ราคาเข้าถึงง่าย

โดยสินค้าแต่ละแบรนด์จะวางราคาขายไว้ตั้งแต่ 19 – 59 บาท ในปริมาณ 7.5 กรัม – 10 กรัม ซึ่งเป็นราคาและขนาดที่คนไทยจ่ายได้ง่าย ยิ่งในยุคค่าครองชีพแพงอะไรที่ประหยัดและจ่ายน้อยกว่าคนมักสนใจ การซื้อสินค้าไซส์ซองขนาดเล็กที่มีราคาไม่สูงนักจึงเป็นทางออกที่ดี

2.ทดลองใช้ได้ไม่ยาก

เนื่องจากสินค้ามีขนาดเล็กทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจของคนที่อยากทดลองใช้ เนื่องจากเครื่องสำอางบางคนอาจใช้แล้วดี บางคนไม่เหมาะกับสูตรนั้น สูตรนี้ ครีมซองที่ราคาไม่แพง จึงเหมาะกับการทดลองใช้ได้

3.พกพาง่ายสะดวกสบาย

การที่เป็นสินค้าขนาดเล็กทำให้ง่ายต่อการพกพา ตอบโจทย์ความต้องการของคนยุคนี้ที่เน้นสะดวกสบายเป็นหลัก บางคนเดินทางบ่อย การมีสัมภาระที่ใช้งานได้ง่าย จึงเข้ากับไลฟ์สไตล์ได้ดีกว่า

9

ภาพจาก https://bit.ly/3rmMR8i

โดยกลุ่มลูกค้า “ครีมซอง” ส่วสนใหญ่อายุอยู่ประมาณ 20-35 ปี ที่เป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่ซึ่งบริษัทที่ทำผลิตนี้ต่างก็มีการพัฒนาสูตรครีมในรูปแบบต่างๆ ให้มีความทันสมัยสอดคล้องและยุคนี้มีการทำตลาดออนไลน์เพิ่มเข้าไปก็ยิ่งทำให้ครีมซองเป็นอีกสินค้าที่เชื่อว่าไม่มีวันตกเทรนด์อย่างเด็ดขาด

อยากมีแบรนด์ “ครีมซอง” ต้องลงทุนเท่าไหร่?

8

ภาพจาก https://bit.ly/3rtYgDn

สมัยนี้การสร้างแบรนด์เครื่องสำอางไม่ต้องใช้เงินทุนสูง มีหลายบริษัทที่รับผลิตแบบ OEM เงินทุนเริ่มต้นประมาณ 5,000 บาท (ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท) มีทั้งสูตรที่เป็นสูตรทั่วไป พร้อมให้ลูกค้าเอาไปทำแบรนด์ได้เลย หรือจะเป็นสูตรตามความต้องการของเราเอง ที่อาจต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาสูตรร่วมด้วย ซึ่งต้นทุนโดยรวมของการผลิตได้แก่

  1. ค่าครีม มีหลายเกรดหลายราคาตั้งแต่หลักร้อย จนถึงหลักหมื่น สามารถเลือกได้ตามความต้องการและงบประมาณของลูกค้า
  2. ค่าขึ้นทะเบียนกับ อย. เพื่อให้สินค้าถูกต้องตามกฎหมาย สินค้าทุกตัวต้องขึ้นทะเบียนกับอย.ก่อนวางจำหน่ายทุกครั้ง
  3. ค่าบรรจุภัณฑ์ เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย บรรจุภัณฑ์ที่เราเลือกไม่ว่าจะแบบซอง แบบหลอด แบบกระปุก หรือแบบขวด การเลือกใช้วัสดุต่างๆเหล่านี้ต้นทุนก็จะต่างกันออกไป หมายรวมถึงหน้าตาของสินค้าเราด้วย
  4. ค่าการตลาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำตลาดของลูกค้า หากลูกค้ามีช่องทางการจำหน่ายอยู่แล้ว สามารถขายเองได้ตามช่องทางโซเชียลต่างๆ ก็สามารถตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้เลย

จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์การตลาดสินค้าขนาดเล็กตอนนี้น่าสนใจมาก เป็นการขายสินค้าในวงกว้างได้มากขึ้น ซึ่งหลายแบรนด์ทั้งเล็กและใหญ่ต่างก็จับกระแสความต้องการนี้ เช่น พีแอนด์จี ที่มีการออกสินค้าไซส์เล็กขนาด 90 ซีซี ในราคา 20 บาท สำหรับแพนทีน 29 บาท เฮดแอนด์โชวเดอร์ และสินค้าแบบซอง 10 บาท ที่เข้าถึงลูกค้าได้และมียอดขายสูงขึ้นมาก หรือ ค่ายอย่างยูนิลีเวอร์ ที่นำเสนอสินค้าไซส์เล็กในราคาไม่สูงนักเช่นกัน เพื่อให้เกิดการขยายฐานการใช้เป็นยังกลุ่มใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อไม่สูงนัก


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3H8dkeU , https://bit.ly/3rgdWd6 , https://bit.ly/34bIFz8 , https://bit.ly/34o2AL4 , https://bit.ly/3rfuNN6 , https://bit.ly/3GjeItY , https://bit.ly/3ucdcaV

อ้างอิงจาก https://bit.ly/32Pq23o

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด