เปิดสูตรคิดต้นทุน ร้านทำเล็บ ตั้งราคาแค่ไหน ไม่ให้เจ๊ง

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง สุภาษิตนี้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจความสวยความงาม ที่แม้จะไม่ใช่สิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับทุกคน แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามทั้งหลาย เรื่องนี้ถือว่ายอมกันไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องให้ตัวเองดูดี

ธุรกิจประเภท ร้านทำเล็บ หรือเสริมสวยจึงยังเติบโตโดยมีกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ให้การสนับสนุน ซึ่งการจะถามว่าวิธีเปิดร้านเสริมความงามให้ได้กำไรต้องทำอย่างๆไร สั้นๆ ง่ายๆ คือ “บริการดี คุณภาพดี ราคาเหมาะสม” รวมถึงถ้ามีทำเลในย่านชุมชน โอกาสกำไรก็มีมาก

kaz1
ภาพจาก pixabay.com

www.ThaiSMEsCenter.com เชื่อว่าหลายคนมองโอกาสของธุรกิจนี้ยังเติบโตได้สดใส แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าราคาในการให้บริการของแต่ละร้านที่ไม่เท่ากันมันเกิดจากปัจจัยอะไร ทั้ง ๆที่ก็เป็นเรื่องการทาสีเล็บ เพ้นท์เล็บ เหมือนๆ กันแต่ทำไมร้านนี้ตั้งราคาแบบนี้ ในขณะบางร้านตั้งราคาอีกแบบ อะไรคือตัวแปรของราคาเหล่านี้

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจของรูปแบบการลงทุนของ ร้านทำเล็บ ที่มี 3 รูปแบบคือ

1.ร้านขนาดเล็ก

เป็นร้านสำหรับการเริ่มใหม่และผู้ลงทุนเน้นหาประสบการณ์ให้มากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นร้านเปิดตามตลาดนัด ตามชุมชนทั่วไป หรือเปิดแบบเคลื่อนที่ก็ได้ บริการในร้านก็จะมีไม่หลากหลายส่วนใหญ่เป็นการเพ้นท์เล็บ ต่อเล็บ ทาสีเล็บ ค่าบริการก็ไม่สูง ประมาณ 60-200 บาท

2.ร้านขนาดกลาง

kaz2

ภาพจาก pixabay.com

พื้นที่ประมาณ 4×4 เมตร อาจใช้พื้นที่ในอาคารพาณิชย์ หรืออาคารเช่าในตลาดนัดขนาดใหญ่ และจะมีการตกแต่งให้สวยงามมากขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากขึ้น มีบริการที่หลากหลายและรูปแบบของการเพ้นท์เล็บ ทำเล็บจะมีลวดลายให้เลือกมากขึ้น ค่าบริการก็จะสูงขึ้น เฉลี่ยประมาณครั้งละ 80-400 บาท

3.ร้านขนาดใหญ่

จัดเป็นธุรกิจครบวงจรที่อาจจะมีบริการเสริมความงามอื่นๆเข้ามาเสริมเป็นร้านเสริมสวยขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีพื้นที่ประมาณ 30-40 ตารางเมตร ส่วนใหญ่อยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือเป็นร้านนอกห้างแต่ก็จะต้องมีการตกแต่งแบบพรีเมี่ยม ค่าบริการของร้านในลักษณะนี้ก็แพงมากขึ้น เฉลี่ยต่อคนต่อครั้งประมาณ 500 – 2,000 บาท

อุปกรณ์พื้นฐานของการเปิดร้านทำเล็บ

kaz3

ภาพจาก pixabay.com

ลักษณะบริการของร้านเพ้นท์เล็บ ประกอบไปด้วย เพ้นท์เล็บด้วยปลายพู่กัน เพ้นท์เล็บลายน้ำ เพ้นท์เล็บแบบใช้สติ๊กเกอร์ติด เพ้นท์เล็บแบบใช้เครื่องออกแบบ เพ้นท์เล็บแบบปั้นนูน ซึ่งบางทีการเพ้นท์เล็บอย่างเดียวอาจเป็นตัวเลือกที่น้อยไป ร้านเพ้นท์เล็บบางทีต้องหาตัวเลือกมาเสริมเช่น สปา นวดมือ นวดเท้า หรือบางร้านครบวงจรก็มีทำผม ทำเล็บ เต็มที่กันไปเลย ซึ่งในกรณีที่เป็นร้านเพ้นท์เล็บธรรมดา อุปกรณ์พื้นฐานที่ควรมีคือ

  1. พู่กันเพ้นท์เล็บ (ซื้อแบบเต็มรูปแบบ 1 ชุดจะมี 15 ชิ้น ซึ่งมีรูปแบบและขนาดต่างๆกันเพื่อใช้งานได้หลากหลาย)
  2. สีอะครีลิค ที่มีให้เลือกหลายยี่ห้อ 1 กล่องจะมี 12 สี
  3. น้ำยาทาเล็บ มีสีพื้นฐาน 4 สีคือ ชมพู แดง ดำ และขาว น้ำยาทาเล็บที่ใช้ควรเป็นแบบไร้สารเคมีเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าแต่ก็อาจทำให้มีต้นทุนตรงนี้สูงขึ้นด้วย
  4. น้ำยาเคลือเล็บ ใช้ตอนทาสีเล็บเสร็จ มีทั้งแบบสีใสและแบบมันวาว
  5. กากเพชรประดับ จะมีให้เลือกกว่า 50 สี ชนิดของกากเพชรก็แตกต่างกันไป ใช้เพื่อทำให้เล็บสวยงามยิ่งขึ้นอุปกรณ์ทั่วไป เช่น
  6. จานสีเพ้นท์เล็บ น้ำยาทำความสะอาดเล็บ ตะไบเล็บ แปรง คีมแต่งเล็บ สำลี เป็นต้น

ควรตั้งราคาแค่ไหน ไม่ให้ร้านเจ๊ง

kaz4

ภาพจาก pixabay.com

การเปิดร้านเพ้นท์เล็บ จำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องมีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ในงานที่ทำเป็นอย่างดี อัตราค่าบริการส่วนใหญ่หากเป็นร้านธรรมดาไม่ติดแอร์ จะราคาจะไม่เกิน 100 บาท หากเป็นห้องติดแอร์เริ่มต้นที่ 250 บาท และถ้าเป็นร้านบนห้างจะเริ่มต้นที่ 350 บาท ขึ้นไป ส่วนราคาสูงสุดที่ให้บริการจะอยู่ระหว่าง 3,000-4,000 บาท

ซึ่งการกำหนดราคาใดๆ ก็ตาม อาจจะมองว่าขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการให้บริการ เช่นแค่ตัดเล็บ หรือแต่งเล็บนิดหน่อยราคาก็อาจจะไม่แพง แต่ถ้าทำเล็บและเลือกลวดลายยากๆ หรืออาจมีการต่อเล็บเพิ่มด้วย ราคาในการให้บริการก็จะสูงขึ้น และเมื่อนำมารวบรัดเป็นสูตรในการคิดราคาเบื้องต้นได้ดังนี้

กำไร=(ต้นทุนคงทื+ต้นทุนผันแปร)/ปริมาณลูกค้าโดยเฉลี่ย

คำว่าต้นทุนคงที่คือ ค่าเช่า ค่าจ้างลูกน้อง ซึ่งถือเป็นรายจ่ายชัดเจนว่าแต่ละเดือนเราต้องเสียเท่าไหร่ รวมกับต้นทุนผันแปร ได้แก่ อุปกรณ์วัตถุดิบที่ต้องซื้อมาใช้ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น

ยิ่งมีการใช้อุปกรณ์และวัสดุคุณภาพดี ราคาของต้นทุนผันแปรก็ต้องมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้คำนวณกำไรได้ง่ายขึ้น ก็ต้องประมาณการได้ว่าเราจะมีลูกค้าประจำเท่าไหร่ รวมกับลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมา เฉลี่ยต่อเดือนเราจะมีลูกค้าเท่าไหร่ ไม่ใช่จำนวนที่แน่นอนแต่เป็นจำนวนประมาณการเพื่อให้รู้ว่าต้นทุนรวมที่มีกับปริมาณลูกค้าโดยเฉลี่ยที่มีจะมองเห็นค่าบริการต่อครั้งที่ควรจะเป็น

kaz51

ภาพจาก pixabay.com

ซึ่งแน่นอนว่าราคาที่ว่านี้ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องใช้กับสินค้าและบริการที่มีในร้านได้ทั้งหมด เพราะการทำเล็บ เพ้นท์เล็บ มีบริการที่หลากหลายแตกต่างกันตามความยากง่าย การคำนวณนี้จะทำให้เรารู้กำไรต่อเดือนว่าจะอยู่ที่ประมาณไหน

ทั้งนี้เพื่อให้เราสามารถควบคุมต้นทุนคงที่ และต้นทุนผันแปร และทำให้เรารู้ว่าจำนวนลูกค้าที่เรามีควรเตรียมวัสดุ อุปกรณ์และวัตถุดิบต่อเดือนประมาณเท่าไหร่เพื่อไม่ให้แบกรับภาระต้นทุนที่มากเกินไปจะทำให้ร้านทำเล็บมีกำไรได้มากขึ้นด้วย

เราจะเห็นได้ว่าร้านเพ้นท์เล็บยิ่งมีขนาดใหญ่ราคาก็ยิ่งสูง เพราะคุณภาพของวัสดุอุปกรณ์นั้นมีต้นทุนที่สูง รวมถึงค่าเช่าในทำเลเหล่านี้ก็ย่อมสูงกว่าร้านตามตลาดนัด ราคาในการให้บริการก็ต้องสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น ซึ่งหากมีลูกค้าจำนวนมาก ร้านทำเล็บอาจมีการจัดโปรลดราคาเพื่อเป็นการดึงดูดใจลูกค้าและถัวเฉลี่ยราคาให้ดูน่าสนใจ ในขณะที่กำไรของร้านก็อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงลดลงมากเกินไปด้วย

kaz5
ภาพจาก pixabay.com

***สูตรการคิดคำนวณราคาดังกล่าวนี้ มีตัวแปรที่ต้องเอามาคิดรวมกันอีกหลายอย่างทั้งค่าการตลาด ค่าเช่าพื้นที่ ต้นทุนผันแปรของแต่ละบุคคล ราคาเบื้องต้นจึงเป็นค่าประมาณการณ์ให้พอมองเห็นภาพและแนวทางในการคิดเบื้องต้น***

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด