เปลี่ยนคนจนให้เป็นคนรวยด้วยวิธี “หลอกสมอง”

คนจนกับคนรวย คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่แตกต่าง! คำตอบคือความคิด มีคนแย้งทันทีว่าต้นทุนชีวิตเราไม่เท่ากัน คนรวยเกิดมามีเงินมีทุนอยากทำอะไรก็ได้ ชีวิตยังไงก็สำเร็จได้เร็วกว่า

ซึ่งถ้าคิดในแง่นี้หมายความว่าเราจะไม่มีทางได้รู้จักกับ ลีกาซิงค์ มหาเศรษฐีชาวฮ่องกงที่ครั้งหนึ่งเขาก็เริ่มต้นจากการเป็นคนงานในโรงงานพลาสติก

รวมถึงเราอาจจะไม่ได้รู้จักสตีฟ จ๊อบ ที่ชีวิตวัยเด็กก็ยากจนแถมครอบครัวยังทอดทิ้งไม่เลี้ยงดูอีกด้วย ในความเป็นจริงคนเหล่านี้ก้าวจาก “ศูนย์” มาถึงขั้น “เศรษฐี” สิ่งเดียวที่เขามีแต่เราไม่มีคือ “วิธีคิด”

ใครอาจจะมองว่านี่คือเรื่องไร้สาระแต่ www.ThaiSMEsCenter.com มองว่าไม่ไร้สาระแน่ มีงานวิจัยจากญี่ปุ่นที่ศึกษาด้านสมองมากว่า 45 ปี พบว่า 99% ของสิ่งที่สมองของคนเราเชื่อว่าถูกต้องนั้น ล้วนคือภาพลวงตา เช่น ไม่มีเงินเก็บ ตกงาน ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จ ทุกสิ่งเป็นผลมาจาก “ภาพลวง” ที่สมองสร้างขึ้นทั้งสิ้น

หลอกสมอง

ภาพจาก https://pixabay.com

มนุษย์บนโลกมีสองประเภทคือ คนที่สร้าง “ภาพลวงเชิงลบ” และคนที่สร้าง “ภาพลวงเชิงบวก” คนเราส่วนใหญ่ถูกกับดักของ “ภาพลวงเชิงลบ” ทำให้หลายสิ่งในชีวิตไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น และหลายคนก็เชื่อไปแล้วว่าคงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

ทั้งที่จริงแล้วทุกอย่างที่สมองของเรารู้สึกนั้นคือ “ภาพลวง” ดังนั้น เราเลือกได้ว่าจะทำให้ภาพลวงนั้นเป็น “เชิงลบ” หรือ “เชิงบวก” หากเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์แล้ว ก็เหมือนกับการถอดเอาหน่วยความจำเชิงลบออก แล้วใส่หน่วยความจำเชิงบวกเข้าไปแทน

มีหนังสือเล่มหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้และอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนชื่อหนังสือคือ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารสมอง Super Brain Training (S.B.T) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้บริษัทชั้นนำในญี่ปุ่น

ซึ่งพอลองดูสรุปเนื้อหาจะพบว่ามีเรื่องที่น่าสนใจที่บอกเราได้ชัดเจนว่า สิ่งที่เราคิดว่า “จน” สิ่งเราคิดว่า “ทำไม่ได้” สิ่งที่เราคิดว่า “คนอื่นเขามีต้นทุนชีวิตดีกว่า” นั่นก็เพระ “เราคิดไปเอง” เป็นพลัง “ด้านลบ” ที่ทำให้เราหยุดอยู่กับที่และไม่ทำให้ชีวิต “รวย” ได้สักที ลองดูว่าจริงไหม!

5

ภาพจาก https://pixabay.com

1.เราทุกคนมีศักยภาพทางกายเต็มเปี่ยมเท่ากัน ตอนเด็กเราลุกแล้วล้มมาเป็น 100 ครั้งแต่ก็ยังลุกขึ้นยืนและพยายามเดินทุกครั้ง ในที่สุดเราก็บรรลุเป้าหมายและเดินได้ในที่สุดคำถามคือ ความรู้สึกนั้นหายไปไหน? ทำไมเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เราจึงยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หลังจากพลาดไปเพียงไม่กี่ครั้ง?

2.สมองจะรู้สึกสุขหรือทุกข์เพราะการทำงานของอะมิกดาลาในสมอง เมื่อสมองได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอกจะหลั่งสารสื่อประสาท “โดพามีน” ที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนออกมา ทำให้ตื่นตัวและกระฉับกระเฉงและเมื่อสมองอยู่ในสภาวะสุขก็จะเกิดความรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่าง

ดังนั้นจงหมั่นชมคนในครอบครัวให้สมองของเขาหรือเธอหลั่งสารโดพามีนออกมา จะได้ทำให้พวกเขามีความสุข คนที่จะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการทำให้คนในครอบครัวมีความสุขได้ก่อน

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามตัวเองหรือได้รับการถามจากคนอื่นว่า “ทำไมถึงทำไม่ได้นะ?” สมองก็จะส่งแค่ข้อมูลที่เป็นเหตุผลของ “การทำไม่ได้ออกมา และรับเอาข้อมูล “ทำไม่ได้” ซ้ำเข้าไปอีก ในทางตรงกันข้าม หากถามตัวเองหรือได้รับการถามว่า “ทำอย่างไรจึงจะทำได้นะ?” สมองก็จะสร้างข้อมูล “วิธีทำให้ได้” ส่งออกมาและรับข้อมูลซ้ำกลับเข้าไปว่า “ทำได้”

4

ภาพจาก https://pixabay.com

3.แม้แต่การทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนหลายคนอาจจมองว่าตัวเอง “โคตรซวย” เจอเจ้านาย “โคตรแย่” แต่ถ้าเราอยากจะ “เสริมโชค” จงอย่าสร้างศัตรูขึ้นในสมองเด็ดขาด เป็นภาพลวงที่ไม่ดี ถ้ามีเจ้านายที่เข้มงวดมาก คนที่เชื่อว่าตนเองเป็นคนโชคดีจะมองว่า “อ๋อ เราทำงานเก่งขึ้นได้ก็เพราะคน ๆ นี้ ขอบคุณนะครับ/คะ” เป็นต้น

4.คนที่ต้องการสร้างพลังเชิงบวกให้ชีวิตประสบความสำเร็จ ทุกครั้งก่อนนอนต้องอย่าคิดในสิ่งที่มันเลวร้าย แต่ให้มองด้านดี บอกตัวเองทุกครั้งก่อนนอนว่า “ผ่านมาได้อีกวันหนึ่ง โชคดีจริงๆ” เป็นต้น

5.วิธีที่จะมีสมองที่คิดเชิงบวกอยู่เสมอแม้กระทั่งเวลาเผชิญความทุกข์คือการ “สร้างภาพลวงที่ดีขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ”

วิธีหนึ่งคือสร้างคำพูดเป็นคีย์เวิร์ดขึ้นมาปรับสมองอารมณ์ เช่น คำว่า “ขอบคุณ” เช่น “ขอบคุณนะที่สร้างอุปสรรคให้เราฟันฝ่าหากมีความเชื่อมั่นในตนเองได้แล้ว สมองจะเข้าสู่สภาวะ “สุข” จึงรู้สึกสนุกไปกับความยากลำบากได้ ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นอีกด้วย

3

ภาพจาก https://pixabay.com

ทั้งนี้ในแนวคิด “หลอกสมอง” ดังกล่าวเชื่อว่ามนุษย์จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยพลังสามอย่าง คือ

  1. พลังเชื่อว่าตนเองโชคดี
  2. พลังรู้สุข คนที่มีพลังนี้จะมี “พลังสร้างสุข” ให้คนอื่นได้ด้วย
  3. พลังรู้คุณ หากมีข้อนี้ ก็จะรู้สึกขอบคุณออกมาจากใจจริง

เช่นในครั้งหนึ่งคุณซาคิจิ โทโยตะ ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทโตโยต้า ได้จัดงานเลี้ยงขอบคุณขึ้น พิธีการสุดท้ายคือ คุณซาคิจิจะขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์บนเวที แต่เขากลับเอาแต่ก้มหน้าและไม่พูดอะไร คนในงานต่างสงสัย แต่เมื่อมองไปที่เวทีก็พบว่า คุณซาคิจิกำลังร้องไห้อยู่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมพูด แต่เขาพูดไม่ออก คุณซาคิจิยืนเงียบถึง 5 นาที จนพนักงานต้องพากลับไปนั่งที่เก้าอี้

แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่คนในงานต่างก็คิดเหมือนกันว่า “โชคดีที่ได้ทำงานกับซาคิจิ” นี่คือพลังรู้คุณของผู้ก่อตั้งโตโยต้า ที่สื่อไปถึงทุกคนได้โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำซึ่งจากแนวคิดทั้งหลายเหล่านี้ก็พอจะสรุปเป็นวิธีสร้างสมองให้คิดบวก ได้ 5 วิธีคือ

2

ภาพจาก https://pixabay.com

1.อย่าหลงเชื่อความคิดวูบแรก

เมื่อสัมผัสแรกส่งข้อมูลมาถึงสมอง สมองจะเชื่อมโยงสิ่งทั้งหมดเหล่านี้เข้ากับประสบการณ์เดิมที่เคยเกิด เราจึงรู้สึกกับบางสถานการณ์หรือเรื่องราวตรงหน้ามากหรือน้อยเกินไป ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อความเข้าใจผิดได้ทั้งสิ้น อย่างเช่น เห็นคนที่เขามีเงิน เขารวย ความคิดวูบแรก ก็ตัดสินไปแล้วว่าเขารวยมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ เราพยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้อย่างเขาหรอก เป็นต้น

2.เชื่อว่าความคิดของเรามีพลังพิเศษ

จะสัมพันธ์กับข้อแรกเมื่อตัดสินใจว่า “ทำไม่ได้” ลงไปแล้ว สมองก็จะปลดปล่อยสารด้านลบบางอย่างที่ไปขัดขวางการคิดด้านอื่นให้หยุดทันทีเพราะสมองเชื่อว่าทำไม่ได้ แต่ในทางตรงข้ามถ้าคิดแง่บวก คิดว่าเราทำได้ สมองจะปล่อยสารที่กระตุ้นให้เราคิด เราอยากทำ เราพยายาม สิ่งที่คิดว่าเราทำได้สุดท้ายเราต้องทำได้

1

ภาพจาก https://pixabay.com

3.ทันทีที่บังเกิดความคิดลบ ความสุขก็หมดลงโดยพลัน

คนที่จะประสบความสำเร็จเขาจะทำไม่ได้ถ้าชีวิตไม่มีความสุข ลองคิดดูกับการที่ต้องทำอะไรสักอย่างที่ฝืนใจทำแบบที่ตัวเองไม่อยากทำ ทำทั้งที่ใจคิดอยู่ตลอดว่า ทำไม่ได้ รวยไม่ได้ นั้นคือการบั่นทอนความสุขในตัวให้หมดลงและความสำเร็จก็บังเกิดไม่ได้เช่นกัน

4.ฝึกลองหลอกตัวเองบ้าง

วันนี้เราอาจจะยังไม่สำเร็จ แต่เราต้องจินตนาการว่าเราต้องไปให้ถึง เราต้องไปให้ได้ สักวันเราต้องอยู่ตรงจุดนั้นจุดนี้ การหลอกตัวเองไม่ใช่การเพ้อฝันแต่มันคือการสร้างแรงบันดาลใจให้เรามีเป้าหมายยึดเหนี่ยว ให้เรามีแนวทางในการก้าวเดิน ถ้าติดอยู่กับความคิดล้มเหลว ทำไม่ได้ ชีวิตก็เดินหน้าไปอย่างที่คิดไม่ได้

5.สั่งสมองปรับนิสัย เพื่อให้สมหวัง

การใช้วิธีหลอกสมองก็จะช่วยปรับนิสัยและพฤติกรรมของเราให้เข้าใกล้คำว่า “สำเร็จ” เร็วขึ้น ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราเชื่อว่าเราทำแล้วมีความสุข นิสัยของเราก็กล้าลุยกล้าเสี่ยง พฤติกรรมของเราก็จะขยันตั้งใจ และมุนานะอย่างเต็มที่ ที่สำคัญเมื่อเจออุปสรรคอะไรแทนที่จะคิดท้อ ถ้าเรามองว่านี่คืออีกขั้นหนึ่งที่เราใกล้จะประสบความสำเร็จก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้เราก้าวต่อและถึงเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้ได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้หลายคนอาจจะมองว่าข้อมูลเหล่านี้มันไร้สาระ ซึ่งถ้าคิดเช่นนั้นแสดงว่า “ความคิดยังติดลบ” และเป็นอุปสรรคข้อหนึ่งที่บอกว่าทำไมชีวิตคุณยังไม่รวยหรือไม่ประสบความสำเร็จสักที ทางตรงกันข้ามคนที่คิดว่าข้อมูลนี้ดีขอบคุณข้อมูลดีๆที่ทำให้เราได้เอาไปใช้ และลองเอาไปใช้จริง ความคิดก็จะเป็นบวก ชีวิตก็จะเดินหน้าได้ ความสำเร็จที่ตั้งใจก็เข้าใกล้เรามาอีกก้าวหนึ่งแล้ว


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

01

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ bit.ly/2E885O9

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด