เทคนิคหาเงินล้าน ก่อนอายุ30

ฝันของทุกคนคือ “อยากรวย” คำว่ารวยในความหมายที่แท้จริง คือมีเงินไว้จับจ่ายใช้สอย ซื้อของ ท่องเที่ยว อยากจ่ายอะไรก็จ่าย อยากได้อะไรก็ซื้อ เจ็บไข้ได้ป่วยก็มีเงินรักษา ใครที่โลกสวยหน่อยอาจบอกว่า “เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้” อันนี้ถูกต้องแต่อย่างน้อยการมีเงินก็ทำให้ “ชีวิตสะดวกสบายขึ้นได้” อันนี้อย่าเถียง

หลายคนจึงตั้งเป้าว่าฉันต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ในช่วงอายุเท่านั้นเท่านี้ แต่ www.ThaiSMEsCenter.com มองว่าคนที่ตั้งใจและทำได้จริงตามแผนที่วางไว้ถือเป็นคนส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ทำไม่ได้

สุดท้ายก็เป็นแค่แผนเลื่อนลอย เป็นความคิดแบบมโนว่าถ้าฉันมีเงินจะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีเงินอย่างที่ตั้งใจสักที ซึ่งว่ากันว่าการก่อร่างสร้างตัวควรอยู่ในช่วงอายุ 25-40 ปีที่วัยนี้น่าจะมุ่งมั่นและขยันขันแข็งได้มากที่สุด คำว่าเงินล้านสำหรับช่วงอายุ 30 คือสิ่งที่หลายคนต้องการแต่คนที่ทำได้จริงนั้นมีไม่มาก

ต้องเก็บเงินเท่าไหร่ถึงจะเป็น “คนรวย”

เทคนิคหาเงินล้าน

ตัวอย่างของการเก็บออมเพื่อให้มีเงินใช้แบบสุขสบาย ว่ากันว่าถ้าเริ่มเก็บออมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อายุ 31 ปี ด้วยการเก็บออม 1,250 บาทต่อเดือน (ปีละ 15,000บาท) เมื่ออายุ 60 ปีจะมีเงินอยู่ในกระเป๋า 1,046,412 บาท แต่ถ้าเริ่มเก็บออมตอน 41 ปี ต้องออม 2,433 บาทต่อเดือน (ปีละ 29,196 บาท) เมื่อถึงอายุ 60 ปีจะมีเงินเก็บ 1,013,663 บาท

แต่ถ้าเริ่มเก็บเงินตอนอายุ 51 ปี ต้องออม 6,300 บาทต่อเดือน (ปีละ 75,000 บาท) เมื่ออายุ 60 ปี จะมีเงินเก็บในกระเป๋า 1,003,716 บาท จะเห็นได้ว่ายิ่งอายุมากการเก็บออมก็ยิ่งต้องเยอะ และคงจะดีกว่าถ้าเริ่มเก็บออมก่อนอายุ 31 ซึ่งไม่แน่ว่าพอถึงอายุ 30-40 เราอาจมีเงินล้านเป็นของตัวเองก็ได้

11 แนวคิดมีเงินล้านตอนอายุ 30 ของ Kathleen Elkins

41

ภาพจาก https://cnb.cx/2kQ3NR4

งานเขียนเรื่อง 11 things to do in your 20s to become a millionaire by 30 ของ Kathleen Elkins เรียบเรียงถึง 11 แนวทางที่ควรลงมือทำในช่วงอายุ 20 เพื่อจะได้เป็นเศรษฐีเงินล้านตอนอายุ 30 มีวิธีที่น่าสนใจดังนี้

1.พัฒนาศักยภาพในการหารายได้ (Focus on earning)

43

มีหลายวิธีที่ทำได้เช่นการย้ายงานเพื่อหาเงินเดือนที่สูงกว่า การอัพเกรดฝีมือตัวเอง และพัฒนาความสามารถตัวเองเพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นอันจะนำไปสู่การเก็บออมที่มากขึ้นได้

2.หารายได้จากหลายๆทาง (Develop multiple streams of income)

44

พยายามหารายได้จากหลายทางไม่ใช่แค่งานประจำอย่างเดียว บทสำรวจของ Thomas C. Corley พบว่า เศรษฐีที่รวยขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองนั้น จำนวน 65% ในกลุ่มสำรวจมีรายได้มากกว่า 3 ทางขึ้นไป

3.ออมเพื่อลงทุน ไม่ใช่ออมเพื่อเก็บ(Save to invest, don’t save to save)

45

กฎเหล็กของคนที่อยากรวยคือออมเพื่อลงทุน ไม่ใช่ออมเพื่อเก็บเงินไว้เฉยๆ หลายคนไม่อยากเสี่ยงก็เลือกออมแบบฝากประจำ ซื้อฉลากออมสิน ซื้อประกันชีวิต แน่นอนว่าเงินส่วนนี้ไม่ได้หายแต่มันก็ไม่งอกเงยขึ้นมาได้เช่นกัน

4.ตัดทิ้งสิ่งเล็กน้อยในชีวิตให้มีเวลาคิดเรื่องอื่นมากขึ้น (Be decisive)

46

เป็นข้อคิดที่คนมองข้ามหลักการคือให้มองข้ามสิ่งหยุมหยิมในชีวิตแต่ละวันควรตั้งแผนไว้เลยว่าจะทำอะไรและควรมีกิจวัตรประจำวันที่ทำแบบอัตโนมัติ ยกตัวอย่าง ในช่วงหลังๆเราจะเห็นSteve Jobs เขาจะใส่เสื้อสีดำออกงานบ่อย ๆ

นอกจากจ็อบส์จะชอบแล้ว จ็อบยังทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดว่าจะใส่อะไร หรือแม้แต่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่เคยโดนถามว่าทำไมชอบใส่เสื้อซ้ำ ๆ เขาตอบว่า “ผมต้องการเคลียร์ทุกเรื่องในชีวิต ให้ตัดสินใจน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

5.พยายามลดรายจ่ายให้เหลือน้อยลง (Don’t show off – show up)

48

โดยเฉพาะของที่ต้องผ่อนหนักๆ และไม่ได้สร้างมูลค่าความมั่งคั่งในอนาคต เช่น รถยนต์ ถ้าเปลี่ยนจากเงินผ่อนพวกนี้เป็นเงินเก็บไปลงทุน มันจะทำให้เพิ่มโอกาสที่จะเป็นเศรษฐีเงินล้านก่อน 30 ได้ง่ายขึ้น เหมือนที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวว่า “ถ้าคุณจ่ายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น สักวันคุณก็จะต้องขายสิ่งที่จำเป็น”

6.เปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการเงิน (Change you mindset about money)

47

คนที่ไม่รวยส่วนมากโทษโชคชะตา โทษพรมลิขิต โทษดวง และมองว่าคนที่รวยเพราะเขามีต้นทุนชีวิตที่ดี มีโอกาสที่ดีกว่า สิ่งเหล่านี้คือทัศนคติติดลบทำให้เราไม่พยายามที่จะก้าวข้ามกรอบความคิดนี้ออกไปเมื่อไหร่ที่คิดนอกกรอบ โอกาสทางการเงินของเราก็จะเปิดกว้าง ซึ่งหนังสือที่ส่งเสริมแนวคิดนี้คือ “ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน” ของ T. Harv Eker ที่กล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน

7.ลงทุนกับตัวเองให้มากที่สุด(Invest in yourself)

49

“สินทรัพย์ลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตคือตัวคุณเอง” เพราะฉะนั้น ลงทุนในตัวเองให้มากที่สุด ลงทุนในการพัฒนาศักยภาพของชีวิตให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างหนึ่งที่ดีมาก ๆ คือ “การอ่าน” ตามด้วย “การหาประสบการณ์เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ”

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยแนะนำวิธีพัฒนาศักยภาพตัวเองโดยยกตัวอย่างวิธีหนึ่งก็คือ พยายามอ่านหนังสือให้เยอะ ๆ คนส่วนใหญ่จบมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยอยากจะพัฒนาอยากจะเรียนรู้ค้นคว้าตัวเองเพิ่ม เพราะฉะนั้นคนที่ทำเช่นนี้แทบไม่มีทางล้มเหลวได้เลย เราอาจโดดเด่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่เราจะโดดเด่นขึ้นมาอย่างแน่นอน

8.พยายามเป็น “นายตัวเอง” ให้เร็วที่สุด (Ditch the steady paycheck)

50

อย่าพยายามคิดว่าชีวิตนี้จะมีแต่การรับเงินเดือน ข้อเสียอย่างหนึ่งของมันคือเราจะได้รับเงินเท่าที่นายจ้างให้ แต่การออกไปทำธุรกิจด้วยตัวเอง มันจะไม่มีการประกันรายได้ขั้นต่ำให้ ไม่มีเงินเดือนเข้ามาทุกเดือน แต่ถ้าเราประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแล้ว มันไม่มีขั้นสูงของรายได้ รายได้จะได้สูงเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในทางธุรกิจของเรา

9.ตั้งเป้าหมายตัวเองให้ชัดเจน (Set goals and visualize achieving them)

62

เป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญเราต้องเขียนออกมาให้ชัดเจนและต้องลงมือทำตามแผนนั้นไปเรื่อยๆ หนังสือหลายเล่มเรียกว่า ภาพความสำเร็จ 2 ครั้ง ครั้งแรกอยู่ในหัว ครั้งที่สองอยู่ในความจริง เช่นตั้งเป้าว่าตอนอายุ 30 จะมีเงิน 1 ล้านบาท

เมื่อมีเป้าหมายก็มากำหนดวิธีไปถึงเป้าหมายเช่นถ้าเริ่มทำงานตอน 23 อายุ 23-25 เงินเดือน 15,000 อายุ 25-27 เงินเดือน 20,000 อายุ 28-29 เงินเดือน 25,000 ถ้าเก็บเงินขั้นต่ำไปลงทุน 40% ของเงินเดือน เราจะมีเงินต้นทั้งสิ้น 600,000 บาท เฉลี่ย 7 ปีเก็บปีละ 85,000 เดือนละ 7,000 เป็นต้น

10.พยายามอยู่ท่ามกลางคนเก่ง คนที่ประสบความสำเร็จ (Starting hanging out with people your admire)

61

จุดประสงค์ของข้อนี้คือ ให้พยายามเรียนรู้และใช้ชีวิตกับคนที่เราสนใจ และผลักดันตัวเองให้ไปสู่จุดที่มีคนเก่ง ๆ รอบตัวให้ได้ เพราะมันจะบีบให้เราต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ตรงกันข้ามถ้าเราอยู่ในหมู่คนที่ไม่ทะเยอะทะยาน คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่สนใจอะไร คนเหล่านี้ก็พลอยทำให้เราหมดไฟฮึกเฮิมไปด้วย

11.คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก(Shoot of $10 million, not to $1 million)

60

เหมือนที่มีคนกล่าวไว้ว่า “ต่อให้เราไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่เราก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว” หมายถึง ถ้าเราพลาดเป้าหมายใหญ่ แต่อย่างน้อยเงินเก็บที่เรามีก็ยังมากพอกว่าการตั้งเป้าหมายเล็กๆ เช่น ตั้งเป้ามีเงิน 5 ล้านบาทตอนอายุ 35 ปี ทำตามวิธีที่กำหนดอย่างเคร่งครัด พอถึง อายุ 35 เราอาจไม่ได้ตามเป้า 5 ล้านแต่มีเงินเก็บแค่ 2 ล้าน อย่างน้อยเป้าหมายของเราไม่สำเร็จแต่เราก็ยังมีเงินมากพออยู่ดี

การจะมีเงินหรือผลักดันตัวเองให้เป็นเศรษฐีในช่วงอายุที่ต้องการ สิ่งสำคัญคือวินัยการเงินและการวางแผนการเงินที่ดี ลำพังแค่การทำธุรกิจอาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นแต่หากขาดการวางแผนเรื่องการลงทุนหรือเก็บออมที่ดี อาจจะเป็นแค่ธุรกิจที่ทำให้เรามีเงินหมุนเวียนแต่ไม่มีเงินเก็บสมดังตั้งใจได้สักที


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

01

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/2ZvO0u6

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด