รวม 7 กลยุทธ์ “ขายดี” แม้ว่า “ไม่มีหน้าร้าน”

สมัยก่อนถ้าอยากขายของ “ต้องมีหน้าร้าน” แต่มาสมัยนี้ “หน้าร้าน” อาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไป แม้ว่าการเปิดหน้าร้านจะมีข้อดีคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้มากขึ้น ลูกค้ามีโอกาสได้เลือกจับสินค้าที่ตัวเองถูกใจ ต่อรองราคาได้ง่าย เป็นต้น แต่นับจากมีการแพร่ระบาดของโควิด กระแสการขายของออนไลน์ถูกเร่งให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

หลายธุรกิจต้องผันตัวเองไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์+เดลิเวอรี่ และก็กลายเป็นอีกช่องทางในการสร้างรายได้ที่ www.ThaiSMEsCenter.com เชื่อว่าหลังการแพร่ระบาดโควิดคลี่คลาย พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปชัดเจนจะทำให้ “การมีหน้าร้าน” ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องเป็นกังวลอีกต่อไป

แต่คำถามคือว่า ถ้าเราไม่มีหน้าร้าน แล้วจะทำยังไงให้ขายดี เพราะสัดส่วนของพ่อค้าแม่ค้าที่มีหน้าร้านก็ยังคงมีเยอะกว่า ดังนั้นลองมาดูว่าถ้าขายสินค้าแบบไม่มีหน้าร้านจะใช้วิธีไหนอย่างไร ให้ขายดีได้บ้าง ก่อนอื่นจะไปพูดถึงวิธีขายดี แบบไม่มีหน้าร้าน เราควรมาทำความเข้าใจก่อนว่า การไม่มีหน้าร้าน นั้นมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง

ข้อดีของการไม่มีหน้าร้าน

37

ภาพจาก www.freepik.com

  1. ไม่มีต้นทุนค่าเช่าพื้นที่สามารถเปิดร้านได้เลยทันที
  2. ประหยัดต้นทุนในเรื่องการจ้างพนักงาน เพราะไม่มีหน้าร้านก็ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานมาก (มี 1-2 คนก็พอ)
  3. บริหารจัดการง่ายเพราะสามารถดูแลได้ทั่วถึง
  4. ต้นทุนสินค้าถูกลงทำให้ขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง เหมาะสมกับรายได้ของคนยุคนี้
  5. ไม่ต้องมีเวลาเปิด-ปิดร้าน ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา รับออร์เดอร์ได้อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งสินค้าที่ขายได้โดยไม่ต้องมีหน้าร้านนั้นมีหลากหลายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม บางคนเปิดร้านขายสเต๊ก แต่เน้นการขายแบบเดลิเวอรี่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีหน้าร้าน ใช้พนักงานแค่ 2-3 คน ก็สามารถมีรายได้ต่อวันไม่ต่ำกว่า 2,000 -3,000บาท หรือบางคนเปิดร้านขายเครื่องดื่มเน้นขายเดลิเวอรี่ก็สร้างรายได้ที่ดีเช่นกัน แต่ทั้งนี้การวางระบบบริหารจัดการในร้านก็เป็นสิ่งสำคัญ คนที่ไม่มีหน้าร้านจะต้องใส่ใจในเรื่องคุณภาพสินค้าและวางระบบการสั่งสินค้าในร้านให้มีประสิทธิภาพด้วย

7 กลยุทธ์ ขายดี แม้ว่า “ไม่มีหน้าร้าน”

แน่นอนว่าเมื่อเราไม่มีหน้าร้านสิ่งที่เราต้องทำก็คือการขายแบบเดลิเวอรี่ หรือการขายออนไลน์ ซึ่งเราต้องมีความชำนาญในการใช้โซเชี่ยลมีเดียต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างสูงสุด ซึ่งมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจดังนี้

1.ใช้ Line Official Account

36

ภาพจาก https://bit.ly/3oVB1B8

Line OA เป็นตัวช่วยที่ดีในการดึงดูดลูกค้า เพราะนอกจากจะทำให้ร้านได้ใกล้ชิดกับลูกค้าแล้ว สามารถที่จะใช้ Line บัตรสะสมแต้มในการดึงดูดลูกค้า เพราะการสะสมแต้มไม่จำเป็นต้องมาที่หน้าร้าน แต่สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าไม่ว่าจะเครื่องดื่ม หรืออาหารทางร้านก็สามารถเพิ่มคะแนนให้ลูกค้าได้ทันที ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำกันได้ง่าย ๆ แถมเป็นช่องทางออนไลน์ที่ไม่ต้องใส่รายละเอียดมากเท่ากับช่องทางอื่น ๆ

2. การใช้ Facebook

35

ภาพจาก https://pixabay.com/

ช่องทางออนไลน์ที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก และถือเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่มีผู้คนใช้กันหลากหลายทุกเพศทุกวัย รวมถึงยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้หลาย ๆ ธุรกิจ รวมถึงร้านเครื่องดื่มมียอดขายเพิ่มมากขึ้นสำหรับการเพิ่มยอดขายด้วย Facebook นั้นให้เริ่มต้นด้วยการสร้างเพจ Facebook โดยให้ใช้ชื่อร้านตรงกับชื่อเพจ ใช้รูปโปรไฟล์ตรงกับรูปโลโก้ร้านหรือรูปหน้าร้าน รวมถึงให้ใส่ข้อมูลของร้านให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ วันและเวลาเปิด-ปิดร้าน และที่สำคัญคือการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร โปรโมชั่นเกี่ยวกับร้านอย่างต่อเนื่อง

3. การทำช่อง Youtube

34

ภาพจาก https://pixabay.com/

คอนเทนต์วิดีโอถือเป็นคอนเทนต์ที่มีการรับชม และเข้าถึงมากกว่าคอนเทนต์ภาพ หรือตัวหนังสือ ดังนั้นช่องทางออนไลน์อย่าง Youtube จึงจะมีคนเข้าชมจำนวนมาก นอกจากการเพิ่มยอดขายสินค้าได้เป็นอย่างดี หากคอนเทนต์ต่าง ๆ ในช่องของร้านมีผู้ชมมาก ก็สามารถที่จะหารายได้จากช่องของร้านได้อีกทาง สำหรับใครที่เปิดร้านขายอาหารหรือเครื่องดื่ม ก็อาจจะทำวิดีโอเกี่ยวกับการชงเครื่องดื่มเมนูต่าง ๆ สูตรเมนูต่างๆ หรือแบ่งปันเทคนิคต่าง ๆ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าเราได้มากขึ้น

4. ทำการตลาดด้วย TikTok

33

ภาพจาก https://pixabay.com/

TikTok เป็นช่องทางออนไลน์ล่าสุดที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเป็นช่องทางที่มีแต่เรื่องไร้สาระ แต่จริง ๆ แล้วในปัจจุบันนี้หลาย ๆ คนเริ่มใช้ช่องทางนี้ในการเผยแพร่ความรู้ รวมไปถึงทักษะต่าง ๆ การรีวิวสินค้า และมักจะดึงดูดผู้ชมได้ในจำนวนมาก และนับว่าเป็นช่องทางออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้ไม่แพ้ช่องทางอื่น ๆ โดยปัจจุบันTikTok มีผู้ดาวน์โหลดไปใช้งานแล้วทั่วโลกมากกว่า 1,000 ล้านครั้ง ซึ่งในประเทศไทยในประเทศไทย มีการดาวน์โหลด TikTok เพิ่มสูงขึ้นถึง 44% และมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 18 – 34 ปี ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของจำนวนผู้ใช้ทั้งหมดในประเทศไทย

5. Live สด ขายสินค้า

32

ภาพจาก www.freepik.com

สินค้าที่เหมาะกับการ Live สด ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า ของเล่น หรือสินค้าแฟชั่นต่างๆ ซึ่งคนที่อยากขายสินค้าเหล่านี้บางทีไม่ต้องมีหน้าร้าน แต่รู้จักการ Live สด ให้น่าสนใจ โดยขั้นแรกต้องมีอุปกรณ์พร้อม มีความเร็วอินเทอร์เนตเพียงพอ มีการเขียน Scrip ที่ดึงดูดลูกค้าได้อย่างดี

รวมถึงควรมีโปรโมชั่นที่น่าสนใจด้วย การขายของด้วยวิธีการ Live สด หากเป็นช่วงเปิดร้านใหม่ๆ ที่ยังไม่มีลูกค้ามากนัก เจ้าของร้านก็สามารถทำคนเดียวได้โดยไม่ต้องมีผู้ช่วย แต่เมื่อยอดขายเติบโตขึ้นและมีลูกค้าเข้ามามากขึ้น การขาย การหยิบสินค้า และการคอนเฟิร์มการจองออเดอร์ อาจจะต้องเพิ่มผู้ช่วย Live สดเข้ามาช่วยดูแลในขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้การขายราบรื่นและจบลงอย่างไม่สะดุด ก่อนลูกค้าเสียอารมณ์จนต้องเปลี่ยนไปดูร้านอื่น

6. ทำตลาดด้วย Instagram

31

ภาพจาก https://pixabay.com/

นึกถึง Instagram ต้องนึกถึงความสวยงาม ความทันสมัย และแน่นอนว่าช่องทางนี้แหละก็จะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งในช่องทางนี้สามารถที่จะใส่รายละเอียดต่าง ๆ ของร้านได้มากพอสมควร รวมไปถึงการจะอัปเดตข้อมูลข่าวสาร อาจจะต้องเน้นการถ่ายรูปภาพสินค้าให้น่าสนใจ และรูปภาพจะต้องดูสวยงาม มีรายละเอียดสินค้าครบถ้วน รวมถึงสามารถที่จะสร้างแฮชแท็ก # ของร้านได้โดยเฉพาะ ซึ่งในประเทศไทยจำนวนผู้ใช้งาน Instagram มีจำนวนมากกว่า 16 ล้านบัญชี ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ใหญ่และมีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ

7. บริการ Delivery

30

ภาพจาก www.freepik.com

ช่องทางการเพิ่มยอดขายที่ดีที่สุด ซึ่งพบว่าในปัจจุบันนี้มีบริษัทที่ออกมาให้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่กระจายทั่วทั้งประเทศ หรือบริษัทเล็ก ๆ ที่ให้บริการเฉพาะพื้นที่ตามแต่ละจังหวัด ซึ่งบริการ Food Delivery นี้เป็นช่องทางที่ลูกค้านิยมใช้มากที่สุด เพราะสามารถสั่งซื้อสินค้าได้จากร้านที่ชอบโดยไม่ต้องไปซื้อหน้าร้าน รวมถึงยังได้รับส่วนลด ได้รับค่าจัดส่งฟรี !

นอกจากนี้ยังบางบริษัทยังสมัครฟรี แต่อาจมีข้อเสียอยู่ที่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น แต่ทั้งนี้ก็ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีเพราะจะทำให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น สำหรับคนที่ไม่มีหน้าร้าน ช่องทางเดลิเวอรี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และการที่ธุรกิจเดลิเวอรี่มีการเติบโตและแข่งขันกันมากขึ้นนี้เองที่ทำให้หลายคนตัดสินใจอยากขายสินค้าแบบไม่มีหน้าร้านมากขึ้น

สิ่งสำคัญของการขายสินค้าที่ไม่มีหน้าร้านเราต้องพึ่งพาโซเชี่ยลให้ถูกวิธี ข้อมูลระบุว่าผู้ใช้งานช่วง 1 ปีที่ผ่านมาคนไทยใช้งานโซเชี่ยลมีเดียถึง 55 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศ 69.88 ล้านคน หรือคิดเป็น 78.7% ของทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 3 ล้านคน โดยผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียมีอายุระหว่าง 16-65 ปี และมีแนวโน้มว่าผู้ใช้ที่มีอายุประมาณ 55-64 ปีนั้นชื่นชอบการซื้อของออนไลน์

โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใช้ 1 คนมีบัญชี social media ถึง 10 บัญชี 90% ของประชากรใช้งาน Youtube และ Facebook ตามมาด้วย LINE (86.2%), Instagram (64.2%), TikTok (54.8%) ภาพรวมของการค้าบนโลกออนไลน์นั้นเติบโตขึ้นถึง 20% ในทุกหมวดหมู่ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร ของแต่งบ้าน ของเล่น เป็นต้น จะเห็นได้ว่านี่คือตัวเลขที่ชัดเจนว่าทำไมหลายคนถึงได้หันมาขายสินค้าแบบไม่มีหน้าร้านกันมากขึ้นในยุคนี้


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/3corFV2
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/2YkpX5M , https://bit.ly/3iuyVEo , https://bit.ly/3ladEl3 , https://bit.ly/3izZOXn , https://bit.ly/3Fllv7n , https://bit.ly/3FllzE9 , https://bit.ly/2YsW1V0 , https://bit.ly/3abYcyo

อ้างอิงจาก https://bit.ly/30gtP8e

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด