รวม 5 เทรนมาแรงในปี 2019

ในที่สุดก็ใกล้ที่จะถึงสิ้นปี 2019 แล้ว นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ในด้านนวัตกรรมใหม่ๆเลยก็ได้ และหากท่านอยากทราบว่า เทรนไหนมาแรงที่สุดในปี 2019 เราก็ได้รวบรวมมาให้ท่านถึง 5 เทรนด้วยกัน ถ้าอยากจะรู้ว่ามีเทรนแบบไหนกันบ้าง ลองไปดูกันเลย!!

1.การประกอบชิ้นส่วนของปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกกันว่า A.I

เทรนมาแรงในปี

ภาพจาก bit.ly/2ku1Ldd

ในปี พ.ศ 2562 จะเห็นได้ว่าเป็นปัญญาประดิษฐ์นี้ได้กลายเป็นกระแสหลักและแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว หรืออาจจะรู้อยู่ก่อนแล้วก็ได้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่สังเกตมันเลยก็ตาม ตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นชื่อดังอย่าง Spotify ก็ได้กลายมาเป็น แอพพลิเคชั่นยอดนิยมในการ สตรีมเพลงดิจิทัล พอดแคสต์ และวิดีโอ

ซึ่งเปิดให้คุณเข้าถึงบทเพลงนับล้าน และเนื้อหาอื่นๆจากศิลปินทั่วทุกมุมโลก หรือแอพพลิเคชั่นที่ให้คำปรึกษาหรือดูแลแบ่งปันของมูลสุขภาพของคุณ โดยจะให้บุคคลที่สามที่อยู่ในแอพพลิเคชั่นนี้ อาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในสื่อออนไลน์ หรืออาจจะเป็น A.I ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ถูกป้อนข้อมูลนั้นมาให้คำปรึกษา เพื่อกำหนดตารางการกินอาหาร ออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการกำหนดตารางงานที่จะทำ ตามความต้องการของตนเอง ตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นไทยชื่อดังอย่าง “ฟ้าใส : เลขาส่วนตัว” นั้นเอง

และแน่นอนว่า ถึงการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะสะดวกสบายสักแค่ไหนก็ตาม แต่อีกด้านนึงก็ถือว่าเป็นดาบสองคมได้เช่นเดียวกัน จะสังเกตเห็นได้จากข่าวการเมือง การตลาด หรือต่างประเทศต่างๆ ก็ล้วนแต่มีสื่อตัวกลางเป็น สื่อออนไลน์หรือ A.I เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมทางเทคโลยีก็ทำงานอย่างหนัก

ตัวอย่างเช่น การไปรับปรุงระบบการแปลหรือการสื่อสารของ Google ให้คัดลอกรูปแบบคำพูดของมนุษย์สั้นๆในการแปลภาษา หรือเพิ่มเติมการแก้ไขได้ เพราะนักออกแบบนี้เหล่านี้กำลังทำงานกับเทคโนโลยีในฐานะเครื่องมือที่ใช้ในทางกายภาคของมนุษย์และเพื่อให้มนุษย์กับเครื่องจักรนั้นสามารถอยู่ด้วยกันได้ นักวิจัยและนักปรัชญาก็ได้ถกเถียงด้วยกันถึงเรื่องมาหลายต่อหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น มนุษย์และเครื่องจักจะสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างไรโดยที่จะไม่ต้องเกิดความเสี่ยง

ถ้าหากคิดในมุมกลับกันล่ะก็ จริงๆแล้วมนุษย์เรานั้น ต้องการเครื่องจักรที่มีความคิดเหมือนมนุษย์หรือยิ่งกว่ามนุษย์จริงๆเหรอ แล้วถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ยังไง แต่นั้นก็เป็นเรื่องของอนาคตอันใกล้นี่ ถึงแม้ปัจจุบันจะยังคงถกเถียงกันอยู่ในเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เราว่า สิ่งที่เรียกว่า A.I หรือ เครื่องจักรนี้ก็ได้มามีบทบาทอยู่ในชีวิตประจำเราเสียแล้ว

2.การใช้โดรนบิน

19

ภาพจาก bit.ly/2kqUv1A

ทุกวันนี้เราคงคุ้นเคยกับคำว่า “โดรน” กันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในหมู่เด็กวัยรุ่นทั้งหลาย เพราะนี่คือมิติใหม่แห่งเทคโนโลยีที่หลายคนนำมาใช้เพื่อประโยชน์ต่างๆมากมาย แต่ในบางคนก็อาจจะไม่คุ้นเคยหรือไม่รู้ความหมายที่แท้จริงว่า จริงๆแล้วคำว่า “โดรน” นั้นหมายความว่ายังไง โดรน (Drone) หรือ UAV (Unmanned Aerial Vehicles) เป็นเทคโนโลยีที่ในเวลานี้หลายฝ่ายกำลังจับตาเฝ้ามองกันเป็นอย่างมาก

เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการบังคับเครื่องบินแทนที่ของมนุษย์ หรืออีกคำพูดหนึ่งที่เรามักได้ยินกับการเรียกใช้งานโดรนก็คือ อากาศยานไร้คนขับ เป็นสิ่งที่กำลังเข้ามามีบทบาทต่อวงการธุรกิจหลายแขนงอย่างมากในยุคปัจจุบัน

ซึ่งย้อนกลับไปในปี 2561 นั้น ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งปีกว่าเพื่อสำรวจความเป็นไปได้นี่ว่า โดรน ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออนาคตของเรานั้นเติบโตขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งในปี 2019 เราจะเห็นได้ว่า โดรน จะเปลี่ยนที่อยู่จากห้องปฏิบัติและศูนย์วิจัยได้ออกไปสู่โลกภายนอกและเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครไปบางคนแล้ว และประเทศสวิตเซอร์แลนด์เองก็ได้กลายเป็นประเทศแรกที่ได้เป็นคนแนะนำระบบควบคุมจากการจราจรแบบโดรนในปีแล้ว และ Wing ที่เป็นบริษัทในเครือของ Google เอง ก็เริ่มที่จะทดลองวิธีการใช้บริการการจัดส่งโดรนแบบเต็มรูปในประเทศฟินแลนด์

นักวิจัยและนักปฏิบัติได้คาดการณ์ไว้ว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นแรกของแอพพลิเคชั่นแบบโดรนได้แพร่หลายไปทั่วโลก ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลากหลายตั้งแต่ธุรกิจ E-Commerce จนถึงการก่อสร้าง และระบบสาธารณูปโภค อีกทั้งโดรนก็ยังขยับเข้ามามีบทบาทในวงการศิลปะและสื่อความบันเทิงมากขึ้นเรื่อยๆ

3.เมื่ออวกาศกลายมาเป็นสมรภูมิรบให้คนรุ่นใหม่

18

ภาพจาก bit.ly/2m382wY

ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 50 ปีของการลงจอดของยาน Apollo 11 ที่พามนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการสำรวจอวกาศ และมีคนให้ความสนใจต่อเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นอย่างมาก และยานสำรวจดวงจันทร์ ‘ฉางเอ๋อ 4’ ของจีนเอง ก็ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนดวงจันทร์ในบริเวณด้านมืดของดวงจันทร์ และเป็นชาติแรกของโลกที่สามารถเข้าไปสำรวจบริเวณด้านมืดของดวงจันทร์ได้สำเร็จ หลังจากที่บริเวณดังกล่าวถูกค้นพบในปี 1959 โดยสหภาพโซเวียต

เห็นได้ว่าประเทศต่างๆเองก็เกิดการแข่งขันทางอวกาศและแย่งชิงห้วงอวกาศสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อนกัน และประเทศอินเดียก็คาดว่าจะเป็นประเทศแรกที่ส่งรถแลนด์โรเวอร์ดวงจันทร์ ขึ้นสู่ดวงจันทร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ Chandrayan-2 ซึ่งอาจจะลงจอดใกล้ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์ และในต้นเดือนนี้ญี่ปุ่นเองก็พยายามที่จะรวบรวมตัวอย่างจากดาวเคราะห์น้อย Ryugu และจะเปิดให้ทั่วโลกได้รับชม SpaceX ในขณะที่ยานอวกาศที่ถูกผูกไว้กับดาวอังคารทำการบินทดสอบครั้งแรกในต้นปีนี้

นอกจากนี้เรายังได้จับตาดู ยาน Beresheet ที่เกิดจากความมือระหว่างบริษัท SpaceIL และ Israel Aerospace Industries (IAI) เพื่อทำภารกิจนำยานลงจอดบนดวงจันทร์และทำให้ประเทศอิสราเอลเป็นชาติที่ 4 ที่สามารถนำยานลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ และถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม แต่รัฐบาลประเทศอิสราเอลเองก็จะยังคงดำเนินการภารกิจอวกาศอย่างต่อไป เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปในอิสราเอลและคนทั่วโลก หรือแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์วิศวกรรมเทคโนโลยีและนักคณิตศาสตร์ในการสำรวจอวกาศต่อไปในภายภาคหน้า

4.การใช้ประสาทสัมผัสในการสรรสร้างงานศิลป์

17

ภาพจาก bit.ly/2kW8sEV

ในปี 2018 นี้เอง ถือได้ว่าเป็นช่วงยุคทองของแอพพลิเคชั่นอย่าง Instagram หรือที่รู้จักกันคือ IG เป็นโปรแกรมที่สามารถนำรูปที่ถ่ายไว้ หรือรูปในแกลลอรี่มาตกแต่งให้สวยงามในสไตล์ของเราเอง แล้วนำรูปภาพที่ตกแต่งนั้นไปแชร์ให้เพื่อนๆ ใน Social Network ได้ดูกัน จนมาถึงปี 2019 จะเห็นได้ชัดว่า ศิลปะกำลังจะก้าวไปไกลเกินกว่านั้น และมีโอกาสในการถ่ายภาพเพื่อลงรูปภาพของคุณให้คนอื่นได้ดู และอาจจะได้ต่อยอดประสบการณ์ที่ดื่มด่ำที่จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสทั้งหมดของคุณเอง

MassMoca ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันทางศิลปะที่สำคัญของแมสซาชูเซตส์ ซึ่งเป็นศูนย์ศิลปะและศิลปะการแสดงร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยศิลปิน Laurie Anderson จะเป็นเจ้าภาพในการจัดประสบการณ์เสมือนจริงนี้เอง และเมื่อมีการเคลื่อนไหวของผู้คนในแวดวงศิลปะอุตสาหกรรมแฟชั่นก็มักจะมีผู้คนคอยจับตามองพวกเขาอยู่เสมอ

ดังนั้น บริษัท H&M และ บริษัท Moschino ก็ได้รวบรวมสิ่งใหม่ๆเพื่อหนีจากชีวิตที่ยากลำบากมาเป็นการละเล่นแทน ในขณะนั้นเอง โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นนี่เอง ก็กำลังพัฒนาระบบนี้เช่นกัน ซึ่ง Magic Leap จากประเทศฟลอริดา นั้นเองก็ได้ตอบโจทย์นี้โดยการผลิต แว่นตาเทคโนโลยีอันใหม่ ซึ่งออกแบบและพัฒนามาจากระบบ AR ที่สามารถหมุนได้ถึง 360 องศา โดยที่สภาพแวดล้อมจะคล้ายกับชีวิตจริงเสมือนกำลังดูการเดินแบบผ่านทางสื่อโทรทัศน์เพื่อตอบสนองความต้องการต่อผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม

ดังนั้นเทรนจากแว่นตาที่พัฒนาจากระบบ AR นี้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า การที่โลกเราเข้าสู่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบนั้นมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ซึ่งสิ่งนี้อีกก็และสามารถตอบโจทย์ที่จะทำให้เราก้าวเข้าสู้โลกเสมือนจริงหรือโลกในความฝันของเราได้ดีเลยทีเดียว

5.การตัดต่อทางพันธุกรรม

16

ภาพจาก bbc.in/2kvAozs

ในช่วงท้ายปี 2018 ก็ได้มีข่าวที่เกี่ยวกับ CRISPR หรืออีกอย่างหนึ่งว่า “การตัดต่อทางพันธุกรรม” ซึ่งทารกถูกดัดแปลงพันธุกรรมเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดขึ้นที่ประเทศจีน เพื่อให้มีภูมิต้านทานเชื้อเอชไอวีแต่แรกเกิด จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอายุสั้นและติดเชื้อไวรัสบางชนิดได้ง่าย

ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการตัดต่อยีนให้เด็กทั้งสองไม่ได้คาดคิดมาก่อน ถึงว่านี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ทางวิทยาศาสตร์ที่ครั้งใหญ่ที่สุดในอีกหนึ่งเหตุการณ์ก็ตาม ถึงจะมีทั้งเสียงตอบรับและเสียงคัดค้านอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ก็เป็นเทคนิควิธีการที่จะช่วยในการแก้ไขข้อมูลทางพันธุกรรมและเปลี่ยนแปลงลำดับ DNA ของมนุษย์ค่อนข้างง่าย ในอดีตเองก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า การแก้ไขข้อบกพร่องทางพันธุกรรมนั้น ประสบความสำเร็จอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งก็คือเด็กทารกคู่แฝดของประเทศจีนนี่เอง

และถ้าหากคำกล่าวอ้างของนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนเป็นเรื่องจริงล่ะก็ การกระทำของเขานั้นจะไม่ขัดต่อหลักปฏิบัติทางจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์อย่างนั้นเหรอ นั้นจึงมีเหตุผลข้อขัดแย้งมากมายว่า ทำไมนักวิจัยจึงไม่นิยมที่จะใช้วิธี CRISPR กับตัวอ่อนมนุษย์

เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การแก้ไขข้อมูลทางพันธุกรรมนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ทุกเซลล์ของตัวอ่อนมนุษย์แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อยอดไปจนถึง DNA ของลูกหลานในอนาคตอีกด้วย ถึงจะมีผลแค่เพียงระยะสั้นๆก็ตาม แต่การ “แทรกแซงทางพันธุกรรม” นั้น ในอดีตก็อาจจะมีผลต่อมาหลายชั่งอายุคนแล้ว แต่เพียงแค่นักวิทยาศาสตร์ยังสาเหตุไม่ได้ว่ามันคืออะไรนั้นเอง

อย่างไรก็ตามในกรณีของฝาแฝดจีนการทำ CRISPR ก็ได้เพิ่มขั้นตอนอื่นๆทั้งหมดลงในการอภิปรายถึงความหวังที่อยู่ในเบื้องหลังเทคนิคนี้ก็คือ การกำจัดโรคร้ายหรือความพิการตลอดชีวิต โดยจากตัดโปรตีนบางตัวออกไปจากลลำดับ DNA

ซึ่งในกรณีของฝาแฝดจีนคือ CCR5 หรือก็คือ โปรตีนที่เอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อ HIV ในเซลล์มนุษย์ การตรวจสอบเทคโนโลยีของ MIT ระบุว่า เป็นการแทรกแซงอย่างมากมายใน DNA ของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นการป้องกันหรือรักษาโรค แต่เป็นข้อได้เปรียบด้านสุขภาพที่ดี และมีเส้นแบ่งระหว่าง ความอดอยากและทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิตของมนุษย์และการสร้างที่ถูกเรียกว่า “ทารกผู้ดัดแปลง”

ถึงการการตัดต่อทาง DNA ก็เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมากที่สุดในแวดวงสังคมวิทยาศาสตร์และการเมืองกันมากแค่ไหน แต่ยังไงเสีย นักวิจัยหลายๆคงก็ยังอยากที่จะทดลองวิธีการเช่นนี้อยู่เรื่อยๆกับสัตว์ให้ห้องแลปทดลอง เพื่อที่นำมาซึ่งชีวิตที่ดีในอนาคต


ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

01

ที่มา