รวม 20 ผักสวนครัว ปลูกง่าย ปลูกไว ยาม stay home

“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำในขณะนี้ แต่การที่ต้อง stay home กันนานๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึกเหงา เบื่อหน่าย หรือบางคนอาจถึงขั้นเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล จากการต้องเก็บตัวอยู่บ้านทั้งวัน

ทางที่ดีคือ หากิจกรรมมาช่วยคลายเหงาและเพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หนึ่งในกิจกรรมน่าสนใจที่ www.ThaiSMEsCenter.com สนับสนุนให้ทุกคนลองทำคือการ “ปลูกผักสวนครัว” เน้นชนิดที่ปลูกง่าย ปลูกไว ดูแลไม่ยาก

TFC2022

ข้อดีคือนอกจากเราจะได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ผักสวนครัวเหล่านี้ยังมีสรรพคุณในการป้องกันและเพิ่มภูมิต้านทานให้เราได้เป็นอย่างดี และหากเราปลูกจนชำนาญไม่แน่ว่าจะกลายเป็นอีกอาชีพให้กับเราในอนาคต ลองมาดู 20 วิธีการปลูกผักสวนครัวง่ายๆที่เรานำมาฝากกันมีอะไรบ้าง

และสำหรับทุกท่านที่กำลังมองหาแฟรนไชส์เพื่อสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สามารถเลือกดูรายละเอียดได้ตามเหมาะสมทาง www.ThaiFranchiseCenter.com หรือเลือกดูตามหมวดหมู่ได้ดังนี้เลย!!

1.ใบกระเพราและโหระพา

ผักสวนครัว

ภาพจาก bit.ly/2VgzgPT

วิธีการปลูก

  1. โรยเมล็ดใส่กระถาง (เมล็ดสามารถสั่งซื้อได้ทั่วไป) ที่มีดินละเอียด
  2. รดน้ำตามทันที ต้นอ่อนจะงอกขึ้นมาภายใน 7-10 วัน
  3. วางต้นอ่อนไว้ในจุดที่โดนแสงแดดเต็มที่ รดน้ำตอนเข้าและตอนเย็น
  4. หลังจากต้นกระเพราหรือโหระพาสูงได้ประมาณ 4 นิ้วเริ่มให้เราเด็ดยอดได้ ซึ่งต้องหมั่นเด็ดยอดเพื่อให้แตกยอดใหม่เรื่อยๆ

2.ต้นอ่อนทานตะวัน

19

ภาพจาก bit.ly/2KaZOLW

วิธีการปลูก

  1. สั่งซื้อเมล็ดอ่อนทานตะวัน (สั่งซื้อออนไลน์ได้)  เมื่อได้เมล็ดอ่อนมาแช่น้ำทิ้งไว้ 8 ชั่วโมง
  2. ครบ 8 ชั่วโมงนำเมล็ดขึ้นจากน้ำทิ้งไว้อีก 24 ชั่วโมง
  3. หาตะกร้านำใบไม้แห้งหรือกาบมะพร้าวสับมารองไว้ที่ก้นตะกร้า
  4. ผสมดินและปุ๋ยเทลงในตะกร้า นำเมล็ดทานตะวันโรยให้ทั่วถาด โรยดินกลบไว้บางๆ ฉีดน้ำให้ทัทว
  5. ควรปิดหน้าดินด้วยวัสดุทึบแสง รดน้ำตอนเช้าและตอนเย็น (ตอนรดน้ำให้เปิดวัสดุที่ปิดหน้าดินขึ้น)
  6. เมื่อต้นอ่อนทานตะวันเริ่มสูงหมั่นเก็บเปลือกที่เกาะอยู่ตามใบออก และปล่อยให้โตตามปกติโดยไม่ต้องปิดหน้าดิน
  7. ต้นอ่อนทานตะวันที่เก็บเกี่ยวแล้วจะไม่สามารถงอกใหม่ได้อีกแต่สามารถนำไปเป็นส่วนผสมดินสำหรับการปลูกครั้งใหม่ได้

3.ผักสลัด

18

ภาพจาก bit.ly/3bsmfbe

วิธีการปลูก

  1. เลือกซื้อเมล็ดพันธุ์ผักสลัดที่เราต้องการ
  2. ใส่ดินลงในกระถางหรือถาดหลุม รดน้ำให้ชุ่ม วางเมล็ดลงไปที่หลุมประมาณ 3-4 เมล็ด/หลุม
  3. รอเวลาประมาณ 5-7 วันให้มาคัดต้นอ่อนที่สมบูรณ์เอาไว้ เหลือเพียง 1 ต้น/หลุมหรือกระถาง
  4. กดดินให้แน่นเพื่อเป็นการตั้งต้นให้กับต้นอ่อน
  5. รดน้ำในตอนเช้าและตอนเย็น วางไว้ในที่โดนแสงแดดเต็มที่ แต่ถ้าแดดแรงมากอาจหาแสลมมาช่วยพรางแสงได้
  6. สามารถใส่ปุ๋ยได้เมื่อต้นอายุครบ 2 สัปดาห์และสามารถใส่ปุ๋ยเพิ่มการเจริญเติบโตได้เมื่อครบ 3 สัปดาห์
  7. สามารถเก็บเกี่ยวได้หลังครบ 45-50 วัน

4.ถั่วงอก

17

ภาพจาก bit.ly/3co0w4l

วิธีการปลูก

  1. นำถั่วเขียวมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน
  2. เตรียมภาชนะสำหรับปลูก เช่นจานหรือกะละมัง ใส่กระดาษหรือทิชชู่เปียกน้ำลงไป
  3. ใส่เมล็ถั่วเขียวที่แช่น้ำทิ้งไว้เรียบร้อย เกลี่ยให้แบน ใส่กระดาษทิชชู่เปียกน้ำปิดไว้ รดน้ำอีกครั้ง
  4. สามารถทำซ้ำแบบนี้กันได้ 3 ชั้น โดยใช้ผ้าชุบน้ำวางทับชั้นบนสุดเอาไว้ปิดด้วยวัสดุทึบแสง และใส่ไว้ในถุงดำ 2 ชั้นมัดให้แน่น
  5. วางไว้ในที่ร่มอย่าให้โดนแสงแดด เปิดผ้าชุบน้ำและรดน้ำวันละครั้ง
  6. เมื่อครบ 3 วัน คว่ำภาชนะที่ปลูก แล้วค่อยๆ แกะเอาถั่วงอกออกมาจากกระดาษทิชชู่
  7. นำไปล้างน้ำให้สะอาดสามารถเอามาปรุงอาหารทานได้

5.ต้นหอม

16

ภาพจาก bit.ly/2RGYCUv

วิธีการปลูก

  1. เตรียมดินด้วยการพรวนดินให้ร่วน ทุบเปลือกถั่วลิสงให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ
  2. นำเปลือกถั่วลิสงผสมกับดิน แล้วตักดินใส่กระถางโดยไม่ต้องกดดินให้แน่น
  3. ใช้มีดตัดต้นหอมเหนือราก 1.5-2 นิ้ว แล้วปักชำลงดิน โดยเว้นระยะห่างแต่ละต้น 2 นิ้วพร้อมกับรดน้ำพอให้ชุ่ม
  4. ถ้าปลูกด้วยเมล็ดให้โรยเมล็ดลงหน้าดินได้เลย ประมาณ 4-5 เมล็ดต่อกระถางก็พอ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นและรากของต้นหอมติดกันเกินไปเมื่อโตขึ้น
  5. รดน้ำเช้าเย็นตามปกติแต่พอมีใบสีเขียวให้ลดจำนวนลงเหลือวันละ 1 ครั้ง
  6. ต้นหอมที่ปลูกด้วยเมล็ดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวจะอยู่ที่ 45 วัน ส่วนต้นหอมที่ปลูกโดยใช้รากจะสามารถเก็บกินได้เมื่อมีอายุ 30-32 วัน ถ้าไม่สะดวกนับวันก็ให้สังเกตจากความสูงของต้น ถ้าต้นหอมยาวเกือบถึงฟุตก็สามารถตัดใบกินได้

6.ผักบุ้ง

15

ภาพจาก bit.ly/2Vd6srf

วิธีการปลูก

  1. นำเมล็ดผักบุ้งแช่น้ำไว้ 1 คืน จากนั้นก็ห่อด้วยผ้าต่ออีก 2 คืน ให้ผ้าชื้นตลอดเวลาเพื่อเป็นการเร่งให้งอกเร็วขึ้น
  2. จากนั้นรากขาวๆ ของผักบุ้งก็จะงอกออกมา
  3. เมล็ดผักบุ้งงอกรากแล้วก็นำลงไปปลูกในดินหลุมละเมล็ด โดยเอานิ้วกดลงไปในดินที่เตรียมไว้
  4. ปิดปากหลุมแล้วรดน้ำ ถ้ามีฟางก็ให้นำฟางมามาคลุมหน้าดินสักหน่อย กันหน้าดินแห้ง
  5. จากนั้นต้นผักบุ้งก็จะงอกออกมารอเวลาให้โตก็รอตัดมารับประทานได้เลย
  6. วิธีตัดผักบุ้งจีน ให้ตัดเหลือตาติดที่ใบประมาณ 2 ตาจากพื้นดิน ผักบุ้งจะแตกกิ่งใหม่มาให้เราเก็บกินอีก 2-3 ครั้ง ให้ตัดแบบนี้ทุกครั้ง

7.พริก

14

ภาพจาก bit.ly/2RKeTZb

วิธีการปลูก

  1. เตรียมเมล็ดพริกให้พร้อมก่อนลงปลูกโดยนำพริกพันธุ์ที่จะปลูกไปแช่ในน้ำอุ่นไว้ประมาณ 1 วันและนำออกมาผึ่งแดดอีกครึ่งวัน ก่อนแกะเมล็ดพริกออกมาปลูก  
  2. เพาะต้นกล้าพริกก่อนปลูกจริงโดยผสมดินร่วนปนทรายเข้ากับปุ๋ยหมักสูตรโพเทสเซียมสูงกว่าไนโตรเจนลงในกระถางเพาะต้นกล้าพริก ขุดหลุมดินในกระถางให้ลึกประมาณ ½ นิ้ว แล้วหย่อนเมล็ดพริกที่เตรียมไว้ลงในหลุมประมาณ 3-4 เมล็ด กลบดิน รดน้ำให้ชุ่มทุกวัน พร้อมกับสังเกตว่าดินระบายน้ำได้ดีหรือไม่ และที่สำคัญต้องวางกระถางเพาะไว้ในที่ที่มีแดดส่องถึง
  3. ย้ายต้นกล้าลงกระถางใหญ่เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกสูง 6 นิ้วขึ้นไปและออกใบให้เห็น ให้ถอนต้นกล้าที่อ่อนแอทิ้งไปให้เหลือไว้เฉพาะต้นกล้าที่แข็งแรงเพียง 1 ต้น หลังจากนั้นก็ทำการย้ายต้นกล้าพริกไปปลูกในกระถางใหญ่ที่มีดินร่วนปนทรายผสมปุ๋ยหมัก เช่นเดียวกับขั้นตอนเพาะต้นกล้าพริก
  4. วางกระถางพริกในทำเลที่เหมาะสมเพราะพริกเป็นพืชที่ชอบแสงแดด ฉะนั้นควรวางกระถางปลูกต้นพริกในที่ที่มีแดดส่องถึง รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะทุกวันเช้า-เย็น และเมื่อพริกเริ่มติดดอกและออกผลแข็งแรงแล้ว ให้เปลี่ยนไปรดน้ำแบบวันเว้นวัน
  5. การเก็บเกี่ยวเม็ดพริกก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่นำมาปลูก แต่สำหรับพริกขี้หนูจะออกดอกและให้ผลประมาณเดือนที่ 2-3 ของการปลูก

8.ผักชี

22

ภาพจาก bit.ly/3eq9BvD

วิธีปลูกผักชีในกระถาง

  1. เตรียมดินสำหรับปลูก ด้วยการตากดินสัก 1 สัปดาห์ แล้วพรวนดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสดคลุกเคล้าเข้าไป
  2. บดเมล็ดพันธุ์ผักชีที่ซื้อมาให้แตกออกเป็น 2 ซีก แล้วนำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  3. นำเมล็ดพันธุ์ผักชีที่แช่น้ำแล้วไปผึ่งลม ผสมกับทรายหรือขี้เถ้าเล็กน้อย
  4. เมื่อเห็นเมล็ดเริ่มงอก ให้นำไปใส่กระถางปลูกที่เตรียมดินเอาไว้แล้ว จากนั้นคลุมด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
  5. รอเก็บเกี่ยวมารับประทานในอีก 30-45 วัน โดยเวลาถอนให้รดน้ำจนดินชุ่มก่อน และควรถอนทั้งราก

9.ผักกวางตุ้ง

12

ภาพจาก bit.ly/3co1D41

วิธีการปลูก

  1. เตรียมถาดพลาสติกสำหรับเพาะกล้า หลังจากนั้นนำดินพร้อมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2 : 1 ใส่ดินผสมดังกล่าวในถาดที่เตรียมไว้
  2. หาเศษไม้เล็กๆ กดลงไปในดิน โดยความลึกประมาณ 0.5 ซม.
  3. นำเมล็ดหยอดลงในหลุม โดยหลุมละ 1-2 เมล็ด แล้วนำดินไปกลบพร้อมรดน้ำให้เรียบร้อย
  4. เมื่อเข้าสู่วันที่ 7-10 ผักกาดเขียวกวางตุ้งเริ่มมีการเจริญเติบโต ควรรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ทั้งเช้าและเย็น
  5. พอเข้าสู่วันที่ 20-25 สามารถย้ายกล้าลงปลูกในกระถางได้
  6. เก็บผลผลิตได้เมื่อเข้าสู่วันที่ 40-45

10.กะหล่ำปลี

11

ภาพจาก bit.ly/3acYxhT

วิธีการปลูก

  1. เริ่มจากการเตรียมดินโดยนำดินไปตากแดดก่อนประมาณสัก 5-7 วัน หลังจากนั้นเมื่อได้ดินที่เตรียมไว้แล้ว นำไปผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
  2. ขุดหลุมเพื่อเตรียมการปลูก แล้วนำเมล็ดที่เราเตรียมไว้ใส่ลงไป
  3. พอเข้าช่วง 4-6 สัปดาห์ เมื่อต้นกะหล่ำปลีที่เราปลูกไว้เริ่มเป็นต้นกล้า นำต้นกะหล่ำปลีนั้นย้ายลงในกระถาง
  4. หลังจากนั้นรอเวลาในการเก็บต้นกะหล่ำปลี (สายพันธุ์เบา 50-60 วัน แต่หากเป็นสายพันธุ์หนัก 90-120 วัน)
  5. รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้ดินชื้นจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นทำให้รากเน่าได้
  6. หมั่นใส่ปุ่ยให้ต้นกะหล่ำปลีเป็นระยะๆ นอกจากนี้ควรดูแล หมั่นพรวนดินและกำจัดพวกวัชพืชเพื่อการเจริญเติบโตที่ดีของต้นกะหล่ำปลี

11.ตำลึง

10

ภาพจาก bit.ly/3bjN81k

วิธีการปลูก

  1. สามารถปลูกโดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำเถาแก่ในถุงก่อน แล้วจึงย้ายลงดินที่เตรียมไว้
  2. ตำลึงชอบดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี ได้แก่ใช้ส่วนผสมของดินและทราย 1 : 1 หรือ 2 : 1 และคลุกดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์
  3. ควรปลูกบริเวณรั้วหรือทำร้านให้เกาะเลื้อย หลังจากเริ่มเห็นการเจริญเติบโตทางลำต้นแล้ว ควรให้ปุ๋ยอินทรีย์สม่ำเสมอเดือนละ 1-2 ครั้ง จะได้ยอดที่สมบูรณ์
  4. ต้นตำลึงมีการผลิตยอดใหม่ได้ดีในฤดูฝน และหากได้รับแสงแดดเต็มที่จะยิ่งเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
  5. การรดน้ำปกติวันละ 2 ครั้ง ไม่ทำให้ต้นตำลึงแตกยอดใหม่ แต่ถ้าพ่นละอองน้ำในอากาศในช่วงบ่าย จะช่วยลดความร้อนและเพิ่มความชื้นในอากาศจะช่วยให้มีการแตกยอดได้

12.คะน้า

9

ภาพจาก bit.ly/3chLe1c

วิธีการปลูก

  1. เตรียมถาดพลาสติกสำหรับการเพาะปลูกคะน้า หลังจากนั้นนำดินพร้อมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2:1 ใส่ลงในถาด
  2. หาเศษไม้เล็กๆ แล้วนำมากดลงไปในดิน ในถาดที่เราเตรียมจะเพาะ โดยความลึก 0.5 ซม.
  3. นำเมล็ดของผักคะน้าที่เราเตรียมไว้ ใส่ในหลุมที่เพาะ หลุมละ 1-2 เมล็ดแล้วรดน้ำ
  4. ประมาณ7-10 วันหลังจากที่เราเริ่มเพาะปลูกคะน้า ผักจะค่อยๆ เริ่มเจริญเติบโต
  5. พอเข้าวันที่ 20-25 ของการเพาะปลูก นำต้นคะน้ามาลงปลูกในกระถาง และพอวันที่ 45 สามารถเก็บผักคะน้าได้
  6. คะน้าต้องการน้ำจึงควรหมั่นดูแลรดน้ำทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าและช่วงเย็น อย่างสม่ำเสมอ

13.บวบเหลี่ยม

8

ภาพจาก bit.ly/2z9qdYj

วิธีการปลูก

  1. การปลูกในกระถางเริ่มจากเอาดินถุงที่ซื้อมา ผสมกับใบไม้แห้งและปุ๋ย เคล้าให้เข้ากัน
  2. แหวกดินให้เป็นหลุมเอาเมล็ดบวบหยอดลงไปสัก 3-4 เมล็ด แล้วกลบดิน
  3. คลุมด้วยฟางหรือหญ้า รดน้ำให้ชุ่ม ตั้งไว้ในที่ที่โดนแดดตอนเช้า ไม่นานต้นกล้าบวบก็จะงอกขึ้นมา
  4. พอมีใบจริงสัก 2 ใบ ก็ถอนต้นที่ไม่แข็งแรงออกไป และรดน้ำไปเรื่อยๆ
  5. พอต้นเริ่มทอดยอดจะเลื้อย ก็เอาไม้ไผ่มาปักคร่อมเป็นสามเส้าทำเป็นค้างให้บวบเลื้อยพันได้
  6. การปลูกบวบต้องหมั่นรดน้ำให้สม่ำเสมอ เพราะบวบเป็นพืชที่ชอบน้ำ ไม่นานก็จะมีลูกบวบที่ออกลูกห้อยระย้านำไปทำอาหารทานได้

14.แตงกวา

7

ภาพจาก bit.ly/2RHywB6

วิธีการปลูก

  1. นำเมล็ดแตงกวาแช่ในน้ำอุ่นอุณหภูมิ 50 องศา
  2. นำเมล็ดแตงกวาที่จมน้ำมาวางลงบนกล่องพลาสติก โดยนำทิชชู่ชุบน้ำมารองก้นกลางพลาสติกก่อน
  3. ปิดฝากล่องให้แน่น
  4. ตากแดด 2 ชั่วโมง ในช่วงเช้า
  5. เมื่อครบ 2 ชั่วโมง นำเมล็ดไปเพาะในภาชนะที่เราต้องการปลูกได้เลย โดยแตงกวานั้นจะใช้เวลางอกอยู่ที่ประมาณ 7 วัน
  6. เราสามารถขึ้นไม้ไผ่นั่งร้านได้ ทำเป็นสามเหลี่ยม เพื่อให้ไม้เลื้อยขึ้นไปแล้วก็ห้อยผลแตงกวาลงมา

15.คื่นช่าย

6

ภาพจาก bit.ly/2VBJI3i

วิธีการปลูก

  1. นำเมล็ดคื่นช่ายแช่น้ำจนจมน้ำ
  2. นำเมล็ดมาห่อด้วยทิชชู่และใส่ ใ น กล่องพลาสติก
  3. ปิดฝาแล้วแช่ตู้เย็นประมาณ 1 วันจึงจะสามารถนำมาเพาะในกระถางได้
  4. คื่นช่ายนั้นจะใช้เวลางอกอยู่ที่ประมาณ 7 วันและใช้ระยะเวลาในการปลูกอยู่ที่ประมาณ 80 วันถึงจะเก็บเกี่ยวได้
  5. คื่นช่ายสามารถปลูกได้ทั้งแบบลงดินและไร้ดิน การปลูกแบบไร้ดินจะใช้ะบบน้ำไหลเวียนให้ปุ๋ยอินทรีย์ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ใช้เวลาปลูกประมาณ 50 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ ข้อดีคือระยะเวลาการปลูกแบบไร้ดินจะสั้นกว่าการปลูกแบบลงดินถึงเท่าตัว ทั้งยังไม่มีปัญหาเรื่องหน้าฝนหรือน้ำค้าง เก็บเกี่ยวง่ายกว่า

16.ตะไคร้

5

ภาพจาก bit.ly/3eDlU7U

วิธีการปลูก

  1. ตะไคร้ที่จะนำมาปลูกจะต้องเป็นต้นตะไคร้ที่มีรากติด แต่ถ้าแยกกอออกมาจากต้นที่สมบูรณ์ ให้แยกหนึ่งออกมาแค่ 3 ต้นเท่านั้น แต่หากตะไคร้ที่ซื้อมาไม่มีราก ต้องตัดโคนต้นให้เหลือความยาวสัก 1½ นิ้ว แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพื่อรอให้รากงอกแล้วค่อยนำไปปลูก
  2. รองก้นกระถางด้วยวัสดุรองก้นกระถางอย่าง แกลบ หิน หรือใบไม้แห้งไว้ก่อน จากนั้นเทดินลงไปกะระยะให้ได้ครึ่งกระถาง แล้วนำปุ๋ยคอกมาผสมดินให้ทั่ว สุดท้ายเทดินลงไปให้เกือบเต็มกระถาง
  3. ใช้พลั่วเขี่ยดินตรงกลางให้เป็นหลุม แล้วนำต้นตะไคร้ที่แยกกอหรือต้นที่แช่น้ำเอาไว้มาปลูก กลบดินให้มิดชิด แต่ไม่ต้องแน่นมาก และรดน้ำให้ชุ่ม
  4. ถ้าต้องการปลูกตะไคร้ขายและอยากได้ลำต้นอวบใหญ่ ต้องดูแลระยะห่างและระบบน้ำให้ดี ๆ เนื่องจากตะไคร้เป็นพืชที่ต้องการน้ำมากจึงจะส่งผลให้ลำต้นมีขนาดใหญ่

17.มะเขือเทศ

4

ภาพจาก bit.ly/2wKTW90

วิธีการปลูก (จากผลสด)

  1. เลือกมะเขือเทศที่ผลมีลักษณะสวยงาม ผลมีสีแดงแก่จัดซึ่งพร้อมที่จะโตเป็นต้นอ่อน และนำมาบีบเลือกเอาเฉพาะเมล็ด
  2. นำเมล็ดวางลงบนดิน โดยให้กระจายตัวออกห่างกันเล็กน้อย กลบด้วยดินบางๆอีกชั้นหนึ่ง รดน้ำให้ชุ่มและต่อเนื่องทุกวันอย่าให้ขาดน้ำ
  3. ประมาณ 30 วันจะมีต้นกล้าออกมา โดยสังเกตให้มีใบแท้ออกมาประมาณ 3-4 ใบ ให้ย้ายออกจากกระถางเล็กไปในกระถางที่ใหญ่ขึ้น โดยขุดให้มีก้อนดินติดรากไปด้วย
  4. ให้มะเขือเทศที่มาปลูกในกระถางใหม่เริ่มตั้งตัวได้ ช่วงนี้รดน้ำเบาๆ ให้รากลงดินและคุ้นเคยกับกระถางใหม่ จากนั้นรอเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นมะเขือเทศที่เราปลูกไว้
  5. มะเขือเทศเป็นพืชที่ชอบน้ำมากหากขาดน้ำจะทำให้หยุดการเติบโตหรือไม่ออกผลทันที

18.สะระแหน่

3

ภาพจาก bit.ly/3ahXv46

วิธีการปลูก

  1. เตรียมดินสำหรับการเพาะ โดยนำดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน และปูนขาวเล็กน้อย มาคลุกให้เข้ากัน
  2. เลือกกิ่งสะระแหน่ที่มีสภาพสมบูรณ์ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป จากนั้นนำไปปักลงในภาชนะที่เราเตรียมเพาะ
  3. ปักกิ่งสะระแหน่ให้เอนทาบกับดิน แล้วรดน้ำให้ชุ่ม แต่ระมัดระวังอย่าให้แฉะจนเกินไป
  4. นำแกลบมาโรยกลบดิน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับหน้าดิน
  5. เมื่อการเพาะปลูกเข้าสู่วันที่ 4-5 ก็จะเริ่มแตกยอดเลื้อยคลุมดิน
  6. การพรวนดินโคนต้นสะระแหน่ควรระมัดระวังและทำอย่างเบามือ เนื่องจากต้นสะระแหน่เป็นพืชที่มีรากไม่ลึก
  7. เมื่อต้นที่เพาะเติบโตจนสามารถเก็บได้แล้ว ควรหมั่นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้กับต้นสะระแหน่

19.มะกรูด

2

ภาพจาก bit.ly/3bsowTO

วิธีการปลูก

  1. นำผลมะกรูดแก่จัดหรือที่ร่วงหล่นและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาฝานออกให้เนื้อในแยกออกจากกัน โดยที่ต้องระวังไม่ให้เมล็ดมะกรูดเสียหาย ใช้ช้อนคว้านเมล็ดและคัดเลือกเมล็ดที่สมบูรณ์ที่สุดเก็บไว้
  2. ล้างเม็ดมะกรูดที่เตรียมไว้ด้วยน้ำสะอาด เพื่อชำระล้างผิวเคลือบลื่นให้หลุดออก
  3. วางเมล็ดมะกรูดที่เราล้างสะอาดแล้วลงบนถาด เกลี่ยทั่วอย่าให้ทับกัน แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งประมาณ 2-4 วัน
  4. เตรียมดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดีมาผสมกับมูลสัตว์หรือปุ๋ยคอก เพื่อเทลงในหลุมเพาะกล้าหรือแก้วพลาสติกที่เตรียมไว้
  5. นำเมล็ดมะกรูดตากแห้งมาเพาะลงในดิน รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะจนเกินไป
  6. ตั้งหลุมเพาะหรือแก้วเพาะไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง อากาศถ่ายเทได้สะดวก
  7. เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกขึ้นและออกใบประมาณ 3-4 ใบ ย้ายลงมาปลูกในถุงดำสำหรับเพาะต้นกล้าให้แข็งแรงและสูงประมาณ 30 เซนติเมตร
  8. หลังจากที่ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ให้ย้ายมาปลูกลงในกระถางด้วยดินร่วนปนทรายผสมปุ๋ยคอกในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน คลุมหน้าดินด้วยกาบมะพร้าวสับเพื่อป้องกันความชื้นระเหย
  9. มะกรูดจะออกผลให้เก็บภายใน 1-2 ปี ส่วนต้นมะกรูดที่สูงตั้งแต่ 6 นิ้วขึ้นไป สามารถนำไปประกอบอาหารได้เลย
  10. หากกิ่งมะกรูดงอกยาวเกินขนาดกระถาง แนะนำขดกิ่งยาว ๆ นั้นให้เป็นวงกลมในแนวนอนและทาบลงไปบนดิน เพื่อควบคุมขนาดต้นให้เหมาะสม กิ่งที่วางทาบลงไปนั้นจะงอกกิ่งกระโดงขึ้นมาใหม่ ออกใบ ออกผลให้เก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี

20.มะนาว

1

ภาพจาก bit.ly/3afgpJ7

วิธีการปลูก

  1. จัดเรียงอิฐวางในที่ตั้งกระถาง โดยให้มีช่องว่างตรงกลางบริเวณรูกระถาง แล้วนำกระถางเปล่าตั้ง การเลือกสถานที่ตั้งนั้น สำคัญต้องให้มีแดดส่องถึง
  2. นำดินที่ผสมวัสดุปลูกอื่นๆแล้วเข้าใส่ในกระถาง โดยให้ระดับดินอยู่ต่ำจากปากกระถางประมาณ 1 ใน 3
  3. ใช้มีดปลายแหลมกรีดถุงมะนาว และดึงถุงพลาสติกออก แล้วนำลงปลูก โดยให้ดินกลบเหนือส่วนลำต้นประมาณ 5 เซนติเมตร และให้ดินต่ำกว่างระดับขอบกระถางประมาณ 1 นิ้ว
  4. รดน้ำให้ชุ่ม และนำฟางข้าว แกลบหรือเศษใบไม้มากลบบริเวณโคนต้น และปากกระถาง
  5. การให้น้ำ รดน้ำหรือให้น้ำผ่านอุปกรณ์การให้น้ำ เช่น อุปกรณ์ให้น้ำหยด โดยให้วันละครั้งในระยะแรก และเมื่อมะนาวตั้งต้นได้อาจให้น้ำแบบวันเว้นวัน
  6. การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณครึ่งกำมือ 2 เดือน/ครั้ง หรืออาจผสมกับน้ำรดบริเวณโคนต้นก็ได้
  7. การตัดแต่งกิ่ง ให้ตัดแต่งกิ่งที่ยาวหรือสูงเกินไป หากมีทรงพุ่มขนาดใหญ่ให้ใช้ไม้ไผ่สอบที่ประถางในทั้ง 4 มุม และใช้เชือกหรือตีกรอบด้วยไม้ไผ่ขึงรอบบริเวณทรงพุ่ม เพื่อไม่ให้ทรงพุ่มแพร่กว้าง

ทั้งนี้ยังมีการปลูกมะนาวที่ง่ายสำหรับคนมีพื้นที่น้อยหรืออาศัยในคอนโดมีเนียมโดยให้นำเมล็ดมะนาวมาล้าง ตากให้แห้ง และแช่ในน้ำเย็นอีก 1 คืน จากนั้นห่อเมล็ดด้วยกระดาษทิชชู นำไปใส่กล่องที่มีฝาปิด คอยพรมน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ รอให้รากงอกภายใน 2-3 วัน แล้วค่อยย้ายเมล็ดมาปลูกในกระถางที่มีดินร่วนผสมปุ๋ยคอก รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ และตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร

ข้อดีของการปลูกผักสวนครัวทานเองนอกจากให้เราสามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ผักสวนครัวเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพืชอายุสั้น คนที่อยู่คอนโดเองก็สามารถปลูกได้โดยนำไปปลูกในกระถางเล็กๆ ริมระเบียงหรือริมรั้วได้ ไม่ต้องดูแลมากนัก ซึ่งผักสวนครัวเหล่านี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารให้เราได้ในระดับหนึ่งหรือถ้าเรามีพื้นที่มีความสามารถมากพออาจจะมองเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในอนาคตก็ได้


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

TFC2022-1

TFC2022-2

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/3corFV2
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล

https://bit.ly/34LzIIP , https://bit.ly/3bgCRTA , https://bit.ly/3b8CZEt , https://bit.ly/3ceyA30 , https://bit.ly/2Vd3vXV , https://bit.ly/2XFHfHy , https://bit.ly/2yejQ5r , https://bit.ly/2VdhTzc , https://bit.ly/3epvlHH , https://bit.ly/2xxQFKF , https://bit.ly/3bf97X9 , https://bit.ly/3et1Cxw , https://bit.ly/3acP4Hl

อ้างอิงจาก https://bit.ly/2QOplhp

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด