รวม 10 ผลไม้ ปลูกง่าย ปลูกไว ยาม Stay Home

ในช่วงที่คนต้องอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หลายคนมีเวลาว่างมากขึ้น แต่ละคนก็สรรหากิจกรรมยามว่างที่ตัวเองถนัด หนึ่งในงานอดิเรกที่ช่วงนี้ได้รับความสนใจคือ “การปลูกต้นไม้” เสน่ห์ของการปลูกผลไม้ไว้ในบ้านคือ เราจะมีผลไม้ที่สะอาดปลอดภัยจากสารเคมี และมีความภูมิใจที่เราได้ปลูกเอง กินเอง 

อย่างไรก็ดีขึ้นชื่อว่า “ผลไม้” เราก็ควรเลือกปลูกที่ง่ายๆ โตไว ซึ่งระยะเวลาของไม้ผลแต่ละชนิดที่จะออกผลให้รับประทานก็แตกต่างกันไป เราก็ต้องอดใจรอและดูแลไม้ผลที่เราปลูกเหล่านี้ให้เติบโต ซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com ได้รวบรวม 10 ผลไม้ ปลูกง่าย ปลูกไว ในยามที่เราที่ต้องอยู่บ้าน จะได้มีกิจกรรมคลายเครียดแถมลดโลกร้อนได้อีกด้วย

TFC2022

1.ส้ม

10

ภาพจาก bit.ly/2yDHb0s

วิธีการปลูก

  1. นำเมล็ดจากผลส้มที่รับประทานแล้วประมาณ 15 เมล็ด ไปล้างแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง
  2. นำไปฝังลงในดินที่ระบายน้ำได้ดี ความลึกประมาณ 2-3 นิ้ว รดน้ำให้เรียบร้อย
  3. นำถุงพลาสติกคลุมกระถางเอาไว้ให้มิด พร้อมเจาะรูด้านบนประมาณ 4-5 รู
  4. นำต้นส้มไปเก็บไว้ในที่ที่มีแสงรำไรสลับกับวางให้โดนแดดโดยตรง ประมาณ 4-6 สัปดาห์ก็จะเริ่มมีใบอ่อน
  5. มื่อลำต้นมีความสูง 4-5 นิ้ว ค่อยย้ายต้นกล้าลงกระถาง
  6. ดูแลต้นส้มต่อไปจนสามารถให้ผลผลิตได้

2.สับปะรด

9

ภาพจาก bit.ly/3cE3QZq

วิธีการปลูก

  1. นำหัวสับปะรด (บริเวณใบ) แช่ในน้ำให้โดนเฉพาะใต้โคนใบ แล้วรอจนกระทั่งมีรากงอกออกมา
  2. การรอรากงอกออกมานี้อาจจะนานสักหน่อย โดยรากจะออกโดยรอบจุก ขาวๆ หลายเส้น ปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์
  3. ในระหว่างแช่น้ำอยู่ คอยเปลี่ยนน้ำให้สะอาดทุกสัปดาห์ หรือเห็นว่า น้ำสกปรกแล้ว ก็ให้เปลี่ยนน้ำก่อนได้เลย
  4. เมื่อจุกออกรากยาวพอควร โดยรอบแล้ว ก็นำไปปลูกลงดินหรือลงกระถางได้เลย
  5. ดินที่ใช้ปลูก อาจใช้ดินสำเร็จรูปทั่วไปก็ได้ และควรคลุกกับมะพร้าวสับ 1/3 ส่วน ลงไปด้วย เพื่อให้ดินโปร่ง ระบายน้ำดี และน้ำหนักเบาหรือจะปนทรายเข้าไปบ้างเล็กน้อยก็ได้ เพราะปกติ จะชอบดินร่วนปนทราย
  6. รดน้ำให้พอควรวางไว้ในที่ร่มรำไรก่อน สักสัปดาห์ผ่านพ้นไป จึงค่อยๆ ให้โดนแดด อ่อนๆ จนสามารถวางตั้งกลางแจ้งได้ ปกติ สับปะรดจะชอบแดดแต่ไม่ควรโดนแดดแรงมากนัก
  7. ระหว่างปลูกควรให้รางวัลด้วยปุ๋ยคอกเป็นระยะๆ และอย่าให้น้ำขังยอดมากเกินไป ยอดจะเน่า
  8. การปลูกด้วยจุก อาจใช้เวลานานสักหน่อย ประมาณ 2 ปี จึงจะได้ผลมารับประทาน

3.แอปเปิ้ล

8

ภาพจาก bit.ly/2xRaOeQ

วิธีการปลูก

  1. เริ่มจากเลือกผลแอปเปิลที่มีสีแดงมากว่า 70%ของผล เพราะว่าสีแดงคือด้านที่โดนแสงแดดมากกว่า จึงทำให้เมล็ดมีความแก่กว่าเมล็ดที่อยู่ด้านใน
  2. เมล็ดแอปเปิลควรเลือกเอาเฉพาะเมล็ดที่สมบูรณ์มาเพาะ แล้วผึ่งลมให้แห้งสนิท จากนั้นนำมาห่อกระดาษทิชซู่พรมน้ำให้เปียกชุ่ม นำใส่ถุงพลาสติก เก็บไว้ในตู้เย็นช่องแช่ผักธรรมดา
  3. เมื่อเมล็ดงอกออกมาแล้ว ให้นำลงดินเพาะปลูก โดยใช้ดินผสมแกลบดำและขุยมะพร้าว ไม่ต้องกดดินให้แน่น จะได้ระบายน้ำได้ดี รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำเมล็ดแอปเปิลที่งอกแล้วมาปลูกลงภาชนะที่เราเตรียมไว้ รอจนกว่าต้นแอปเปิลจะแข็งแรง
  4. เมื่อต้นแอปเปิลแข็งแรงดีโดยสังเกตจากใบและรากใบแท้ขึ้นมาอย่างน้อย 10 ใบรากเดินเต็มภาชนะแล้ว ให้นำมาลงดินร่วนผสมดินเหนียวที่จะใช้นำไปปลูก
  5. ต้นแอปเปิลเมื่ออนุบาลจนแข็งแรงแล้ว ก็สามารถนำไปปลูกได้ โดยขุดหลุมให้กว้างประมาณ 1 เมตร ลึกประมาณ 1 เมตร โดยดินที่อยู่ผิวดินลงไปประมาณครึ่งฝ่ามือให้กองแยกไว้ 1 กอง ส่วนดินชั้นล่างกองไว้ต่างหากจากนั้นนำปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้วเทลงก้นหลุม จากนั้นนำดินที่อยู่ด้านบนที่แยกไว้นำมาคลุกกับปุ๋ยคอกก้นหลุมให้เข้ากัน นำต้นแอปเปิลลงปลูกกลบดินบริเวณโคนต้นให้แน่น หาไม้ค้ำยันมาเสียบป้องกันรากไม่ให้กระทบกระเทือน หมั่นรดน้ำแต่อย่าให้แฉะจนเกินไป ใช้เวลาประมาณ 3 – 5 ปีก็เก็บกินได้

4.สตรอเบอร์รี่

7

ภาพจาก bit.ly/2RXEPk8

วิธีการปลูก

  1. เริ่มจากการเก็บเมล็ดจากผลสตรอเบอร์รี่โดยวิธีง่ายสุดคือใช้มีดเฉือนเนื้อ สตรอว์เบอร์รี่ ออกมาบางๆ
  2. นำเนื้อสตรอว์เบอรี่ที่เฉือนไว้ มาวางบนกระดาษทิดชู่ นำไปผึ่งลมให้แห้ง หรือวางไว้ในตู้เย็น เพื่อให้เนื้อที่ติดมาแห้งไวขึ้น
  3. ประมาณ 1-2 วัน ก็จะแห้งสนิท ตอนนี้แค่เอามือลูบที่ผิวสตรอว์เบอรี่ เมล็ดที่ติดอยู่ก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายๆ
  4. นำเมล็ดนั้นแช่ตู้เย็นไว้ประมาณ 7 วัน เพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ด นำเมล็ดที่แช่นเย็นออกมา ใส่ในถ้วยหรือแก้ว แช่น้ำไว้จนเมล็ดงอก ต้องเปลี่ยนน้ำทุกวัน ป้องกันการเน่าของเมล็ด
  5. ระยะเวลาการแช่เมล็ดนั้น ไม่แน่นอน บางเมล็ด 2-3 วันก็งอก บางเมล็ด 15-20 วันจึงจะงอก
  6. รอจนกว่าเมล็ดจะมีรากงอกออกมา ใช้วิธีการสังเกตไม่ต้องรอจนรากงอกยาวแค่พอเห็นว่ามีรากก็นำไปเพาะได้เลย
  7. เพาะลงในดินที่เตรียมไว้ประมาณ 37 วัน ต้นสตรอเบอร์รี่จะมีใบ 3 แฉกใหญ่ออกมาให้เห็น
  8. จากนั้นก็ดูแลรดน้ำ ใส่ปุ๋ยบ้างตามสมควร รอจนต้นเติบโตเต็มที่และสามารถให้ผลผลิตได้

5.อะโวคาโด

6

ภาพจาก bit.ly/3by4xTN

วิธีการปลูก

  1. อะโวคาโดเองมีวิธีการปลูกคล้ายกันกับมันเทศ คือให้ผ่าเนื้อออกเพื่อเอาเมล็ดด้านใน ซึ่งในส่วนของอะโวคาโดจะมีเพียง 1 เมล็ด
  2. จากนั้นนำไม้มาเสียบกับเมล็ดประมาณ 3-4 ด้าน แล้วนำไปพาดไว้กับปากแก้ว โดยให้ด้านล่างของเมล็ดโดนน้ำครึ่งหนึ่ง รอสักประมาณ 6-8 สัปดาห์
  3. รอให้รากงอก พอรากงอกยาว 6 นิ้วให้ตัดออก 3 นิ้ว แล้วรอจนกว่าใบจะขึ้น
  4. พอใบขึ้นเมื่อไหร่ก็ให้ย้ายเมล็ดไปปลูกในดินได้เลย แต่อย่าลืมว่าต้องปลูกโดยให้เมล็ดครึ่งหนึ่งอยู่เหนือดินด้วย

6.มะม่วง

5

ภาพจาก bit.ly/2VPV2ZD

วิธีการปลูก

  1. เลือกวิธีการปลูกจากการเพาะเมล็ดที่มีข้อดีคือ ทำได้ง่าย ได้จำนวนมาก ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะต้นใหญ่อายุยืนนาน
  2. การเพาะด้วยเมล็ดจำนวนไม่มากอาจเพาะได้ในภาชนะต่างๆ เช่น กระถาง ถุงพลาสติก เป็นต้น
  3. วัสดุที่ใช้ในการเพาะคือทรายผสมขี้เถ้าแกลบ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ผสมลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน รดน้ำให้ชุ่ม นำเมล็ดที่แกะแล้ว (เมล็ดก่อนเพาะต้องใช้มีดคมๆ ตัดปลายออกเล็กน้อยเพื่อให้เห็นช่องว่างภายใน) ใส่ลงในกระบเพาะ
  4. เทคนิคสำคัญในการเพาะคือควรฝังเมล็ดให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว ให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง ท้องของเมล็ดเอียงเป็นมุมประมาณ 45 องศา ให้ส่วนหัวของเมล็ดขึ้นมาเหนือทรายในกระบะเพาะเล็กน้อย
  5. รดน้ำให้ชุ่ม รดน้ำทุกวัน เมล็ดที่สมบูรณ์จะงอกภายใน 1 สัปดาห์หรือไม่เกิน 20 วัน
  6. หลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน นำต้นกล้าที่งอกไปชำในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ใส่ดินที่มีใบไม้ผุ หรือขุยมะพร้าวผสมปุ๋ยอินทรีย์ ชำต่อไปอีกประมาณ 3-4 เดือน สามารถนำไปปลูกต่อเพื่อให้เติบโตเป็นต้นใหญ่ต่อไปได้

7.น้อยหน่า

4

ภาพจาก bit.ly/3eIhI6P

วิธีการปลูก

  1. น้อยหน่าสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีเช่น ตอนกิ่ง เพาะเมล็ด แต่ที่นิยมมากที่สุดคือการเพาะเมล็ด เพราะจะมีรากแก้วที่ทำให้ต้นแข็งแรง
  2. การเพาะด้วยเมล็ดเริ่มจากการนำเมล็ดมาล้างให้สะอาด นำไปแช่น้ำอีก 1 คืน แล้วแช่น้ำอุ่นต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นการงอก
  3. นำเมล็ดไปเพาะในกระบะที่เตรียมไว้ โดยดินที่ใช้เพาะควรใช้ทรายผสมกับขุยมะพร้าว กลบดินให้พอมิด
  4. ดูแลรดน้ำให้ดินชื้นอยู่ตลอดเวลาแต่อย่าให้แฉะ
  5. เมื่ออายุได้ประมาณ 10-15 วัน เมล็ดจะเริ่มงอกและแข็งแรงพอที่จะย้ายไปไว้ในถุงชำ
  6. การปลูกน้อยหน่าลงดินควรเป็นเนินดินที่สูง เพราะต้นน้อยหน่าไม่ชอบน้ำท่วมขัง จากนั้นดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยแต่ต้นน้อยหน้า สำคัญคือต้องคอยกำจัดศัตรูพืช เช่นแมลงวันทอง เพลี้ยหอย ที่ชอบแอบมากินผลอ่อนของน้อยหน่า

8.ชมพู่

3

ภาพจาก bit.ly/2VPaUM6

วิธีการปลูก

  1. ชมพู่สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด การปักชำ การตอนกิ่ง การเสียบยอด และการทาบกิ่ง หากเป็นการปลูกง่ายๆที่บ้าน เราเลือกใช้วิธีการปลูกชมพู่จากการเพาะเมล็ด
  2. ข้อดีของการเพาะเมล็ดคือไม่มีการกลายพันธุ์ ทำได้ง่าย รวดเร็ว ได้ต้นที่แข็งแรง ทนทานต่อลมแรง และความแห้งแล้งได้ดีเนื่องจากมีรากแก้ว
  3. เริ่มจากการเลือกใช้เมล็ดจากต้นแม่พันธุ์ที่แข็งแรง ไม่เป็นโรค ให้ผลดก
  4. ผสมดินร่วน 3 ส่วน กับปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ให้เข้ากัน ใส่ลงในถุงเพาะพลาสติกขนาด 4×9 นิ้ว
  5. หยอดเมล็ดลงในดินเพาะ แล้วกลบดินบางๆ รดน้ำ ปลูกเลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำ
  6. เมื่อต้นกล้าที่เพาะมีอายุได้ประมาณ 2 เดือน ต้นสูงประมาณ 15 เซนติเมตร และเมล็ดสลายหมดแล้ว ควรแยกและย้ายต้นกล้าไปปลูกในภาชนะที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และปลูกเลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำต่อไป จนต้นมีความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ขึ้นไป จึงนำไปปลูกลงแปลง

9.ฝรั่ง

2

ภาพจาก bit.ly/2VyTMvf

วิธีการปลูก

  1. ฝรั่งสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีเช่น การปลูกด้วยเมล็ด การทาบกิ่ง การติดตา การปักชำ แต่วิธีที่นิยมมากที่สุด คือ การตอนกิ่ง
  2. พื้นที่ทั่วไปที่มีระบบน้ำไม่เพียงพอ สามารถปลูกในแปลงโดยไม่ยกร่องหรือการยกร่องสูงประมาณ 30 ซม. ระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 3-4 เมตร
  3. ใช้กิ่งพันธุ์จากการตอนหรือการปักชำ รองพื้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือมูลสัตว์ และนำกิ่งพันธุ์ลงปลูก เมื่อปลูกแล้วควรรดน้ำให้ชุ่มทันที
  4. ควรให้น้ำทุก 2 ครั้ง/วัน เช้า-เย็น จนต้นฝรั่งตั้งตัวได้ม่ควรปล่อยให้ดินแห้ง ขาดน้ำ โดยเฉพาะในช่วงติดผล แต่ในช่วงติดดอกไม่ควรให้น้ำมากซึ่งในช่วงนี้เพียงแค่ระวังไม่หน้าดินแห้งก็ เพียงพอ
  5. ควรดูแลด้วยการใส่ปุ๋ยตั้งแต่ช่วงปลูกจนถึงออกผลรุ่นแรก รวมถึงต้องมีการกำจัดวัชพืชโดยรอบโค้นต้นด้วย
  6. เมื่อเริ่มมีผลผลิตต้องรู้จักการห่อผลเพื่อป้องกันการกินผลของแมลงและสัตว์ต่างๆ รวมถึงป้องกันเชื้อราที่อาจเกิดขึ้น

10.มะยม

1

ภาพจาก bit.ly/2VwmAnK

วิธีการปลูก

  1. นำผลจากต้นมะยมที่มีลักษณะสมบูรณ์ แก่จัดและหล่นจากต้น มาปอกแล้วนำเนื้อออกให้หมด จากนั้นนำเมล็ดที่ได้ไปแตกแดด
  2. เมื่อเมล็ดที่นำไปตากนั้นแห้งแล้ว ให้นำมาแช่ในน้ำร้อน 1 นาที ก่อนทำการเพาะปลูก
  3. นำเมล็ดที่ได้ใส่ในหลุม โดย 1 หลุมใส่ 2-3 เมล็ด แล้วกลบดินให้เรียบร้อย
  4. เมื่อต้นมะยมที่เพาะ ต้นกล้าเริ่มมีการเจริญเติบโต ค่อยถอนต้นออกแล้วเหลือเฉพาะต้นที่สมบูรณ์เพียงต้นเดียว
  5. ต้นมะยมชอบดินชุ่มชื้น ควรรดน้ำให้ต้นมะยมให้ปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม
  6. บริเวณที่เพาะปลูกต้นมะยม ควรจัดตั้งให้โดนแสงแดดเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี

การปลูกผลไม้หรือไม้ยืนต้นไว้ในบ้านก็ต้องคำนึงถึงชื่อและความเป็นศิริมงคล ต้นไม้บางประเภทหรือผลไม้บางอย่างก็ไม่ควรปลูกไว้ในบ้าน หรือบางคนที่อาจไม่ได้มีพื้นที่สำหรับการปลูกไม้ผลขนาดใหญ่ อาจลองเลือกไม้ผลที่มีขนาดต้นเล็กลงมาแต่สามารถปลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน ซึ่งก็มีผลไม้หลายแบบที่เราสามารถเลือกมาปลูกได้ตามความเหมาะสม


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise 

TFC2022-1

TFC2022-2

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/3corFV2
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/2XVUaoX , https://bit.ly/2RTuCVz , https://bit.ly/3eCgIRr , https://bit.ly/3eCCS6i , https://bit.ly/2RV2K3r , https://bit.ly/2KkrIVZ , https://bit.ly/2wVdPKB , https://bit.ly/3cAHpUO

 

อ้างอิงจาก  https://bit.ly/3iWiNJX

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด