รวมตัวเลข สถิติ! เทรนด์อาหารแบบไหน น่าลงทุนที่สุด

“อาหาร” เป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าลงทุนที่สุด ไม่ว่ายุคไหนสมัยใดคนเราก็ยังต้องกิน เพียงแต่การลงทุนในธุรกิจอาหาร ก็ต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อย่างในปัจจุบันคนมีรายได้ลดลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น การลงทุนขายอาหารก็ควรเน้นที่ราคาไม่แพง คุณภาพสมกับราคา ให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า

อย่างไรก็ดี www.ThaiSMEsCenter.com มองลึกลงไปว่าคนลงทุนเองควรเลือกประเภทของอาหารให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเทรนด์อาหารที่น่าสนใจในปัจจุบันมีด้วยกัน 5 กลุ่มคือ อาหารเพื่อสุขภาพ , อาหารสำเร็จรูป , อาหารฮาลาล , อาหารเสริมและเครื่องดื่ม และอาหารเพื่อผู้สูงอายุ ทีนี้เราจะมาลองดูกันว่า สถิติและตัวเลขในเทรนด์อาหารแต่ละชนิดเป็นอย่างไร ก่อนลงทุนจะได้เลือกตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

1. อาหารเพื่อสุขภาพ

รวมตัวเลข

ภาพจาก freepik

คำว่า “อาหารสุขภาพ” เป็นเทรนด์ที่มาแรงในช่วง 2-3 ปีทีผ่านมาและยิ่งเป็นเทรนด์ฮิตมากขึ้นเมื่อมีการระบาดของ COVID 19 ในปี 2013 มูลค่าของตลาดสินค้าอาหารและเครื่องดื่มออร์แกนิกทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอยู่ที่ราว 161,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ที่ 15% ต่อปี โดยมีตลาดอเมริกาเหนือและยุโรปเป็นตลาดออร์แกนิกที่ใหญ่ที่สุดของโลก มูลค่าตลาดรวมกันสูงถึง 95% ของตลาดออร์แกนิกทั่วโลก

สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารปราศจากกลูเตนพบว่า เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศตะวันตก เนื่องจากในภูมิภาคดังกล่าวมีคนไข้โรคเซลีแอค (แพ้กลูเตน) มากกว่าประเทศอื่นๆ และปัจจุบันพบว่าการบริโภคอาหารที่ปราศจากกลูเตนเป็นเพียงแนวทางเดียวในการรักษาโรคนี้ นอกจากนี้ แนวโน้มการบริโภคผลิตภัณฑ์ปราศจากกลูเตนยังเพิ่มขึ้นจากความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่ความเชื่อว่าอาหารประเภทดังกล่าวดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารที่มีกลูเตนอีกด้วย

2. อาหารสำเร็จรูป

15

ภาพจาก freepik

ชีวิตที่เร่งรีบทำให้ “อาหารสำเร็จรูป” ขายดีมากขึ้นด้วย อาหารในกลุ่มนี้จะรวมถึงอาหารสำเร็จพร้อมทาน อาหารพร้อมปรุง อาหารส่งถึงบ้าน ตลอดจนกลุ่มอาหารแปรรูปที่เน้นความสะดวกสบายในการบริโภคและมีอายุการเก็บนาน โดยกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมอาหารสำเร็จรูปจะให้ความสำคัญกับความสะดวก รูปแบบบรรจุผลิตภัณฑ์ คุณค่าทางอาหาร ความปลอดภัย ความหลากหลาย และความน่าดึงดูดของผลิตภัณฑ์ มูลค่าทางการตลาดของอาหารสำเร็จรูปเริ่มเติบโตชัดเจนตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา

โดยในปี 2015 มีมูลค่าการตลาดกว่า 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 6% ในขณะเดียวกันประเทศไทยเองก็ดูจะตื่นตัวกับอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานมากขึ้น มูลค่าการตลาดในส่วนของประเทศไทย ปี 2563 มูลค่าตลาดอาหารพร้อมทานจะอยู่ที่ประมาณ 20,200-20,500 ล้านบาท โดยมีหลายแบรนด์ที่ลงมาจับสินค้าในกลุ่มนี้มากขึ้น

3. อาหารฮาลาล

14

ภาพจาก freepik

อุตสาหกรรมฮาลาลเป็นที่รู้จักในนาม “ตลาดพันล้านอันดับ 3 ของโลก” ถัดจากประเทศจีนและอินเดีย เพราะต้องรองรับประชากรมุสลิมที่มีมากถึงกว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลก โดยชาวมุสลิมมีข้อห้ามอาหาร 6 ชนิดตามหลักศาสนา ตามอักษรย่อ ABCD IS คือ แอลกอฮอล์ (Alcohol) เลือด (Blood) สัตว์กินเนื้อและนก (Carnivorous animals and birds) เนื้อของสัตว์ที่ตายแล้ว (Dead meat) อาหารที่ถวายให้กับเทพเจ้ายกเว้นพระเจ้าอัลลอฮ์ (Immolated food) และเนื้อสุกร (Swine)

ซึ่งอุตสาหกรรมนี้คาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา 10% ต่อปี มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2013 ไปอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 โดยข้อมูลจาก Global Trade Atlas ระบุว่าในปีที่ผ่านมา อาหารารฮาลาลของโลกมีมูลค่ารวม 1.15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(หรือกว่า 35.7 ล้านล้านบาท ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มของการขยายตัวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

4. อาหารเสริมและเครื่องดื่ม

13

ภาพจาก freepik

ยิ่งคนเราเจอปัญหาเรื่องสุขภาพ และการแพร่ระบาดของโรคมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งหันมาสนใจดูแลตัวเองมากขึ้น จึงเป็นโอกาสทองของบรรดาอาหารเสริมบำรุงสุขภาพที่จะเติบโตมากขึ้น โดยสินค้ากลุ่มนี้ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและร่างกาย การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือการเสริมความงาม เป็นต้น

จากการศึกษาของสถาบันวิจัยอาหาร Leatherhead พบว่าตลาดอาหารเสริมของโลกในปี 2014 มีมูลค่า 54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า และในปี 2016 มีมูลค่าอยู่ที่ 121.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีอยู่ที่ 5.7 เปอร์เซ็นต์ มาถึงปี 2020 ที่ผ่านมามูลค่าตลาดอาหารเสริมทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 155พันล้านเหรียญสหรัฐ สังเกตได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของอาหารเสริมนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันก็ยิ่งชัดเจนกับบรรดาแบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่างๆ ที่หันมาทำตลาดสินค้าด้านนี้มากขึ้น

5. อาหารเพื่อผู้สูงอายุ

12

ภาพจาก bit.ly/3qY4wjl

อันเป็นผลมาจากสังคมผู้สูงอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ธุรกิจอาหารมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ทั้งนี้ สหประชาชาติคาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 ประชากรโลกมากกว่า 20% (ประมาณ 2.2 พันล้านคน) จะมีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งเราถือว่านี่เป็นเทรนด์อาหารที่ใหม่ล่าสุด และในตอนนี้ก็ยังมีคู่แข่งไม่มาก มีเพียงบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น

11

ภาพจาก bit.ly/3ooC9Jx

บริษัท Amazon ที่ได้เปิด 50+ Active and Healthy Living Store เพื่อขายผลิตภัณฑ์ให้แก่กลุ่มลูกค้าที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป , บริษัท Nestle ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบขวดกาแฟให้มีส่วนโค้งเพื่อให้จับถนัดมือและเปิดง่ายขึ้น และกลุ่มธุรกิจ Asahi ที่ได้ออกผลิตภัณฑ์สตูว์จานเดียว เพื่อรองรับความต้องการของครอบครัวเดี่ยวและผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่น เป็นต้น

10

ภาพจาก bit.ly/3cfpmGY

ในส่วนของประเทศไทยคาดการณ์ว่าจะมีผู้สูงอายุ ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 11.13 ล้านคน คิดเป็น 16.73% ของคนในประเทศ มูลค่าการตลาดผู้สูงอายุน่าจะมากถึง 107,000 ล้านบาทต่อปี โดยรูปแบบของอาหารผู้สูงอายุ ต้องเน้นสารอาหารที่ครบถ้วน อาหารมีเนื้อนุ่ม เคี้ยวง่าย สามารถทานได้ง่ายและแก้ปัญหาด้านการเคี้ยวและการกลืน รวมถึงอาหารที่เหมาะสมกับคนสูงอายุที่มีโรคประจำตัว ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่น่าจับตามองอย่างมาก

การลงทุนในธุรกิจอาหารมีหลายเทรนด์ให้เลือก หรือใครที่มองว่าการลงทุนเองเป็นเรื่องยาก จะลองเริ่มจากเล็กๆ ด้วยการลงทุนในแบบแฟรนไชส์ที่มีอาหารหลากหลายรูปแบบให้เลือก หรือหากต้องการสร้างแบรนด์หรือทำธุรกิจของตัวเองก็โฟกัสที่ตลาดอาหารประเภทใดประเภทหนึ่ง ซึ่งทั้ง 5 เทรนด์ที่กล่าวมานี้ถือว่าเป็นการลงทุนในยามวิกฤติที่สร้างโอกาสให้เราเติบโตในการทำธุรกิจได้


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/3corFV2
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล
https://bit.ly/362ayHD , https://bit.ly/35YThza , https://bit.ly/3p9fHVQ , https://bit.ly/3c05Fmk

 

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3t4Af4w

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด