น่ากังวล! เมื่อคนยุคใหม่กว่า 75% ออกจากงานด้วยเหตุผลด้านสุขภาพจิต

จากกรณีศึกษาล่าสุดโดย Mind Share Partners, Qualtrics และ SAP พบว่า ครึ่งหนึ่งของหนึ่งพันล้านคน และกว่าอีก 75% ของบุคคลที่เป็น Gen Zers

(Gen Z คือ คำนิยามล่าสุดของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงคนที่เกิดหลังจากปี ค.ศ. 1995 หรือปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา) ออกจากงานด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพจิตซะส่วนใหญ่ นอกจากนี้สมาคมจิตวิทยาของอเมริกันก็พบว่า ร้อยละของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความคิดฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 47% จากในปี 2008 – 2017

น่ากังวล

ภาพจาก pixabay.com

โดยบริษัทอย่าง Cisco ก็ได้อ้างว่า พนักงานกว่า 7% ของสหรัฐอเมริกากำลังเข้าถึงรูปแบบของการรักษาสุขภาพจิตและการรณรงค์ต่อต้านการใช้สารเสพติด โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จากกรณีของปัญหาสุขภาพจิตดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นมาในอัตราที่น่าตกใจในหมู่คนนับพันและคนรุ่น Gen Zers

ซึ่งมันเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสถานที่ที่ทำงานในปัจจุบัน เนื่องจากปัญหาและแนวโน้มในอัตราที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เช่น ปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น พนักงานที่มีอยู่โดยจำกัด หรือแม้กระทั่งทรัพยากร และเวลาการทำงานที่ยาวนาน เป็นต้น

12

ภาพจาก bit.ly/35LEjLj

โดยจากการศึกษาได้มีผู้ที่ตอบแบบสอบถามในสหรัฐอเมริกากว่า 1,500 คน โดยคนที่มีอายุมากกว่า 16 ปีขึ้นไปที่ทำงานเต็มเวลาอย่างไม่มีเวลาพักผ่อน และจากการศึกษาล่าสุดอีกครั้งโดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกันได้พบว่า

ร้อยละของผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวที่มีปัญหาสุขภาพจิตบางประเภทก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญช่วงในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปอร์เซ็นของผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในอัตราที่เพิ่มขึ้นกว่า 47% จากในปี 2008 – 2017

โดยจากการศึกษาของ Mind Share Partners, SAP และ Qualtrics ก็ยังแสดงให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ประสบกับปัญหาของสุขภาพจิตเรื้อรังมากขึ้น โดยคนที่มีอายุน้อยกว่าจะสามารถจัดการกับความเจ็บป่วยทางจิตได้ในอัตราที่เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าของประชากรทั่วไป

โดยการค้นพบครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า มีอัตราของผู้ที่ป่วยในด้านของสุขภาพจิต มีอายุ 18 – 25 ปี กว่า 71% และ 20 – 21 ปี กว่า 78% ที่มีปัญหา และจากการรายงานจากศูนย์สุขภาพจิตของมหาวิทยาลัยที่ Penn State University พบว่า จำนวนนักเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยของตนเองและมหาวิทยาลัยต่างๆที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 5 เท่า ในปี 2011 – 2016

เบื้องหลังของปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น

11

Jean Twenge
ภาพจาก bit.ly/2MV7frw

โดย Jean Twenge ผู้เขียน iGen ที่เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเอฟเฟคก็ได้กล่าวว่า “จากการเพิ่มขึ้นของสมาร์ทโฟนและสื่อออนไลน์ต่างๆ อย่างน้อยเราก็คิดว่า สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนป่วยในด้านของสุขภาพจิตมากยิ่งขึ้น” โดยเขาก็ได้กล่าวเสริมอีกว่า “วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วมักใช้เวลาในการเผชิญหน้ากับผู้อื่นน้อยลง แต่กลับใช้เวลาบนหน้าจอมือถือมากขึ้นแทน

ซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนกันตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี 2556” เธอกล่าว อีกทั้งเธอยังสังเกตเห็นว่า ในเวลานั้นปัญหาของสุขภาพจิตก็เริ่มที่จะพุ่งสูงขึ้นมาตามลำดับดังที่คาดการณ์เอาไว้

“การอ่านข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจิตของคุณ ในฐานะของการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐาน ซึ่งมันเล็กน้อยมากเมื่อคุณใช้เวลาไปกับมัน” อีกทั้งเธอก็ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “และสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ทำให้เวลานอนของคนส่วนใหญ่นั้นลดน้อยลง ซึ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สุขภาพจิตของคุณนั้นดีขึ้นมาแต่อย่างใด”

10

Peter Gray
ภาพจาก bit.ly/31yb0IT

แต่ Peter Gray ผู้ที่เป็นศาสตราจารย์ด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยบอสตันกลับมีความเห็นที่ต่างออกไป เขากล่าวว่า “ไม่ใช่สื่อสังคมออนไลน์หรอกที่ทำให้คนหนุ่มสาวเกิดความรู้สึกกังวล แต่สิ่งที่พวกเขากังวลนั้นคือ โรงเรียนของพวกเขาเองต่างหาก” โดยเขาก็ได้ติดตามความก้าวหน้าจากช่วงกลางทศวรรษที่ 1950

ซึ่งสังคมก็ได้นำสถานที่เหล่านี้ไปใช้ในการควบคุมเด็กๆทีละเล็กทีละน้อย (โดยคนเหล่านี้จะเชื่อว่า ความสำเร็จและความล้มเหลวนั้นเกิดขึ้นมาจากความพยายามของตัวพวกเขาเอง) เป็นผลให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากในวันนี้จะหายไป

โดย Gray ก็ได้สนับสนุนให้มีการปรับปรุงระบบทางการศึกษาเพื่อที่จะให้พวกเขาเหล่านี้ได้ปลูกฝังจุดสนใจของพวกเขามากยิ่งเขา เขาได้สนับสนุนในมูลนิธิของ Let Grow Kids และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อให้คำแนะนำและดูอาชีพที่พวกเขาอาจจะสนใจในอนาคต

แต่ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องใดก็ตาม แต่ผลตามสถิติก็ชี้ให้เห็นถึงปัญหาต่างๆที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพจิตนั้นเรื้อรังมากกว่าหลายพันปีมาแล้ว เช่น การเพิ่มขึ้นของสภาวะการเป็นโรคซึมเศร้า หรือ การเสียชีวิตจากความสิ้นหวัง (การใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์แก้เครียด จนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย) และค่าครองชีพที่ไม่แน่นอน

โดยร้อยละ 86 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามใน Mind Share Partners, SAP และการศึกษา Qualtrics ก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า วัฒนธรรมของบริษัทควรที่จะสนับสนุนในด้านของปัญหาของสุขภาพจิต โดยปัญหาเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นแนวหน้าของความหลากหลาย ซึ่งพนักงานต่างก็ต้องการให้บริษัทหลายๆบริษัทจัดการกับปัญหาเหล่านี้บ้าง

Cisco กำลังจะเผชิญหน้ากับปัญหาในเรื่องของสุขภาพจิตในที่ทำงาน

9

ภาพจาก bit.ly/33PfhsN

โดย 1 ใน 5 ของบุคคลที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต ทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคซึมเศร้า ความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ โดยรวมแล้วเกินกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และสำหรับนายจ้างหลายคนที่สูญเสียผู้ที่มากความสามารถไปเพราะ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต

ซึ่งนั้นก็เป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายราคาแพงของเขาเลยก็ว่าได้ โดย Fran Katsoudas ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Cisco เล่าว่า หลังจากการเสียชีวิตของ Anthony Bourdain และ Kate Spade เมื่อปีที่แล้ว Chuck Robbins ซีอีโอของบริษัท ก็ได้ส่งอีเมล์ไปทั่วทั้งบริษัท เพื่อแจ้งถึงปัญหาสุขภาพจิตและปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น

8

ภาพจาก bit.ly/2pB4X90

โดย Robbins ผู้ที่รับตำแหน่งซีอีโอในปี 2015 ก็ได้สนับสนุนให้พนักงานได้พูดคุยกับอย่างเปิดเผยและแสดงความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน “Cisco ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสในการผลักดันและเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับปัญหาของทางด้านสุขภาพจิต และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนในด้านของปัญหาทางสุขภาพกายด้วยเช่นเดียวกัน”

โดยหนึ่งในขั้นตอนแรกของพวกเขานั้นคือ การรวมบริการสุขภาพจิตในการดูแลสุขภาพของบริษัท นอกจากนี้ Cisco ก็ได้เปิดตัวแฮชแท็กอย่าง #SafetoTalk ซึ่งจะเป็นชุมชนเสมือนแรกของพนักงานที่อยากจะระบายและผู้อื่น และเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่พวกเขาเจอมา

“เราแต่คนละจะมีบทบาทในการทำให้แน่ใจว่า ความทุกข์เหล่านั้นน่ากลัวน้อยกว่าการขอแรงสนับสนุนในช่วงเวลาที่พวกเข้าองค์การมากที่สุด แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครหรอกที่อยากจะอยู่คนเดียว” Robbins กล่าวในหมายเหตุถึงพนักงานของ Cisco ที่เกี่ยวข้องกับ #SafetoTalk

7

Chuck Robbins
ภาพจาก bit.ly/2VX2HFe

โดยเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ Cisco ก็ได้เฉลิมฉลองวันสุขภาพจิตโลกด้วยชุดกิจกรรมสัปดาห์และเหตุการณ์เสมือนจริงกับพนักงานของ Cisco และผู้เชี่ยวชาญในด้านปัญหาของสุขภาพจิต ถึงแม้ว่าจะยังเร็วเกินไปก็ตาม แต่ Cisco ก็อ้างว่า 7% ของจำนวนพนักงานในสหรัฐอเมริกากำลังเข้าถึงรูปแบบของการดูแลปัญหาทางด้านของสุขภาพจิตและการใช้สารเสพติด

โดยโปรแกรมดังกล่าวมีไว้ให้สำหรับพนักงานราว 75,000 คน ของ Cisco และผู้จัดการอีกกว่า 11,000 คน “โดย Cisco มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่ได้รับการสนับสนุนทางด้านสุขภาพจิตและสุขภาพกาย” เขากล่าว

ซึ่งดูจากภาพรวมแล้ว คนในยุคนี้ต้องเผชิญกับปัจจัยที่เสี่ยงต่อปัญหาทางสุขภาพจิตอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่แต่ละคนได้เผชิญมา

ดังนั้นแล้ว หากเราไม่ได้อยู่กับผู้ที่กำลังประสบปัญหานี้ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นหนักหนาแค่ไหน ทางที่ดีเราควรที่จะรับฟังเขา พาเขาออกไปสำหรับปัญหาเหล่านี้ หยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ดี แค่นั้นเขาก็ดีใจแล้ว


คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/document
เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php

ที่มา