ธุรกิจอยากโตแบบสุดโต่ง! ลองดู “ ฮ่องกงโมเดล ” แล้วจะเข้าใจ

แม้ฮ่องกงจะถูกมองว่ามีพื้นที่แค่เพียง 1,096.63 ตารางกิโลเมตร เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่มีพื้นที่กว่า 513,120 ตร.กม. เรียกว่าต่างกันหลายช่วงตัว แต่เรื่องพื้นที่ก็เอามาชี้วัดสภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้อย่างประเทศญี่ปุ่นที่มีพื้นที่แค่ 377,962 ตารางกิโลเมตรก็ยังเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกที่ใครๆต่างก็ต้องจับตามอง

ความน่าสนใจในด้านการลงทุนตามสายตาของนักธุรกิจนั้นให้โฟกัสที่เรื่องการให้ปัจจัยเสริมที่สนับสนุนให้เกิดโอกาสทางการค้าได้มากขึ้น หากเรามองที่จุดนี้ถือว่าฮ่องกงนั้นสอบผ่านได้สบายๆ ตัวเลข GDP ของฮ่องกงมีทิศทางการเติบโตแบบต่อเนื่องตลอดมาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็มีมูลค่าของGDP กว่า 274 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ถือเป็นอัตราการเติบโตที่มากกว่า 1.8% ซึ่งถือว่าน่าสนใจและทำให้เราต้องมามองดูว่าอะไรคือไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ฮ่องกงก้าวไปถึงจุดนั้นได้มากขึ้น และถ้าเทียบกับการลงทุนในเมืองไทยแล้วจะสามารถเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาปรับใช้อย่างไรได้บ้าง เป็นเรื่องที่ www.ThaiSMEsCenter.com คิดว่าน่าติดตามหากเราต้องการทำธุรกิจที่เติบโตได้แบบสดใสเช่นนั้น

เลขาธิการสำนักงานการคลังฮ่องกงเปิดเผยรายงานว่า เศรษฐกิจของฮ่องกงมีการขยายตัว 1.9% ในปี 2559 ขณะเดียวกันก็คาดการณ์ด้วยว่า เศรษฐกิจฮ่องกงจะขยายตัวอยู่ในช่วงระหว่าง 2%-3% ในปี 2560 นั้นเป็นเพราะนโยบายเสรีการค้าที่มุ่งสร้างสิ่งต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้นักลงทุนนักท่องเที่ยวมากขึ้น

เพื่อเป็นการดึงดูดให้ผู้คนสนใจและหันมาที่ฮ่องกงอย่างไม่ขาดสายที่ผ่านมาที่เห็นได้ชัดเจนในด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ ก็คือ การสร้าง3 Runways เพิ่มเติมที่สนามบินระหว่างประเทศฮ่องกง เพื่อเพิ่มเที่ยวบินสำหรับนักท่องเที่ยว และส่งสินค้า , การสร้างเกาะใหม่ขึ้นมารองรับนักท่องเที่ยว

และทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น , การ จัด Event พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยว เช่น ขยายจำนวน Casino และสร้างโรงแรมเพิ่ม , การพัฒนาท่าเรือให้รองรับเรือได้มากขึ้น รวมถึงการสร้างรถไฟฟ้า (MTR) จำนวน 5 สาย ที่จะแล้วเสร็จในช่วง 2557-2563

นั้นคือภาพรวมขนาดใหญ่ที่เรามองเห็นว่าทำไมฮ่องกงถึงน่าสนใจแม้ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกไม่เป็นไปตามที่ใจนึกนักในบางปีฮ่องกงเองก็ได้ผลกระทบจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่ลดลงเช่นกันแต่สิ่งที่ทำให้ฮ่องกงยังคงเดินหน้าสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจได้แข็งแกร่งเป็นเรื่องจุดแข็งที่สามารถหยิบเอาเรื่องวัฒนธรรมประเพณี มาผนวกรวมใช้กับการทำธุรกิจได้อย่างกลมกลืม ซึ่งถือเป็นข้อดีที่เมืองไทยเองก็มีและไม่ได้ด้อยกว่า เราลองมาดูกันว่าการหลอมรวมที่น่าสนใจนี้คืออะไรบ้าง

ฮ่องกงโมเดล

ภาพจาก goo.gl/F3AUpX , goo.gl/L55o4N

1.การจัดโซนธุรกิจที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก

สำหรับใครก็ตามที่ได้ไปฮ่องกงจะต้องได้ช็อปปิ้งกับย่านการค้าที่ดูเหมือนจะเป็นจุดขายที่สำคัญมาก ซึ่งเราไม่ต้องพูดถึงแสงสีเสียงในการดึงดูดใจนักท่องเที่ยว โดยย่านช็อปปิ้งสำคัญในฮ่องกงที่รู้จักกันดีอย่างแอดมิรัลตี้ เซ็นทรัล และโซโห ,คอสเวย์ เบย์ ,เชิงหว่าน , จินซาโจ่ย และ มงก๊ก

ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีดีแตกต่างกันไปอย่างจินซาโจ่ยที่เอาใจคนคอกลางคืนเป็นเหมือนบาซาร์ระดับโลกขนาดยักษ์ หรือในย่าน เชิงหว่านที่มีพื้นฐานตลาดจากความเชื่อและธุรกิจชาวจีน จึงเป็นตลาดเก่าแก่ที่มีเสน่ห์มาก

2.โปรโมชั่นระดับประเทศดึงดูดคนทั่วโลก

เชื่อได้ว่านี่คือแนวคิดกระตุ้นธุรกิจได้สุดโต่งกับการจัดงานประจำทุกปีภายใต้คอนเซปต์ลดกระหน่ำทั้งเกาะฮ่องกงที่มีสินค้ามากมายพร้อมใจลดราคา 35% ไปจนถึง 70% หรือ 80 % เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการรอคอยเลยทีเดียว ส่วนพวกแบรนด์เนมชื่อดังอย่าง Louise Vuitton, Prada, Gucci, Fendi, Hermes จะไม่ได้ลดราคาไปด้วย เนื่องจากราคาปกติ แบรนด์เหล่านี้ที่ฮ่องกงจะถูกกว่าที่ไทยประมาณ 5% อยู่แล้วเพราะฮ่องกงยังเป็นเมืองปลอดภาษี แต่แค่มหกรรมแบบนี้ขาช็อปทั่วโลกก็มุ่งหน้าไปฮ่องกงกันแน่นขนัดทุกปีส่งเสริมให้เศรษฐกิจขยับตัวได้ดีอีกด้วย

hj3

ภาพจาก goo.gl/mgS4FN

3.การใช้เสน่ห์ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมเก่า-ใหม่

เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ดีซึ่งประเทศไทยเองก็มีการใช้แนวคิดนี้เช่นกันอย่างงานอะเมซิ่งไทยแลนด์ที่จัดอยู่ต่อเนื่อง แต่ในฮ่องกง การใช้ตรงนี้เรียกว่ามีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากอย่างย่านเมืองเก่าโอลด์ ทาวน์ เซ็นทรัล

ที่เป็นจุดผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและตะวันออกของฮ่องกง เพราะเป็นจุดที่อังกฤษเข้ามาปักธง ทำให้เกิดร่องรอยการค้าขายและการอยู่อาศัยของคนจีนย่านนี้ยาวนานถึงอายุ 150 ปี ธุรกิจในย่านนี้จึงใช้กลิ่นอายนี้เป็นตัวหลักในการทำตลาดซึ่งก็สร้างรายได้และเป็นจุดแข็งที่ดีทีเดียว

4.เอาอดีตมาเล่าเรื่อง สร้างธุรกิจที่จดจำไม่รู้ลืม

ข้อดีของการมีStory คือทำให้คนสนใจและอยากเรียนรู้ในวัฒนธรรมของประเทศนั้นก็สามารถก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ๆที่หลากหลายได้ในประเทศไทยก็มีกลยุท์การส่งเสริมธุรกิจเช่นนี้กับการพาทัวร์วัดเก่าที่อยุธยา การชมตลาดน้ำใกล้ชิดชาวบ้าน อย่างในฮ่องกงเขาก็มีเหมือนกันอยากการพาทัวร์ที่วัด Man Mo

ซึ่งเก่าแก่มากแต่ที่ดูน่าสนใจมากและคิดว่าบ้านเรายังมีน้อยก็คือการแปลงสิ่งเก่าให้เกิดประโยชน์อย่างที่ฮ่องกงเขาแปลงแฟลตตำรวจที่ทิ้งร้างแล้วมาหลายสิบปี ให้เป็นสถานที่สนับสนุนนักศึกษาที่เรียนจบด้านการออกแบบและดีไซน์แต่มีทุนน้อยมาทดสอบสนามทำธุรกิจ ให้เช่าห้องมาเปิดร้านขายของ ได้มา 6-7 ปี จนบางอันก็กลายเป็นสตาร์ทอัพได้เลยทีเดียว

hj4

ภาพจาก goo.gl/hBoVeH

5.ชูความเป็นเมืองตลอดกาล

อาจจะเป็นเพราะว่าฮ่องกงมีพื้นที่น้อยการทำเรื่องนี้ก็เลยดูจะง่ายและมีมนต์ขลังมากกว่าแต่ธุรกิจไทยเองก็ประยุกต์ใช้เรื่องนี้ได้เช่นพัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ที่หากชูความเป็นเมืองให้โดดเด่นมากขึ้นก็จะเพิ่มเสน่ห์ได้อย่างน่าสนใจ

กลยุทธ์ที่ฮ่องกงใช้เรื่องนี้คือเมื่อมาถึงฮ่องกงจะได้สัมผัสทุกอณูของเมืองตั้งแต่นั่งรถแทรมป์ แวะชมหุ่นมาดามทุสโซ ขึ้นไปวิกตอเรียพีกเพื่อถ่ายรูปกับอ่าววิกตอเรียในมุมสูง ที่จะเห็นท่าเรือ คลังสินค้า และเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ท่ามกลางตึกสูงต่างๆ ที่บ่งบอกความเจริญและสมกับเป็นเมืองทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชีย

อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนเพื่อสนับสนุนธุรกิจคือการก้าวตามไลฟ์สไตล์ของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปโดยต้องไม่ลืมกลิ่นอายในความเป็นตัวเองนอกเหนือจากการส่งเสริมทางด้านกฏหมายและการลงทุนที่ดี ด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ก็น่าจะใช้เป็นโมเดลในการพัฒนาธุรกิจให้โตแบบสุดโต่งได้แน่นอน

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด