คาดการณ์ ธุรกิจแฟรนไชส์ ปี 2559 กลุ่มไหนมาแรง!

ธุรกิจแฟรนไชส์ นับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบธุรกิจที่เป็นที่รู้จักกันดีและมีความน่าสนใจในการลงทุนอยู่ไม่น้อย จากข้อมูลตอนหนึ่งของการสัมมนาในหัวข้อเรื่อง  “เส้นทางสู่สากล ธุรกิจแฟรนไชส์ ไทยก้าวอย่างไร และงานวิจัยสถานการณ์แฟรนไชส์ไทยล่าสุด” ธุรกิจแฟรนไชส์

โดย ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ในงานมหกรรมสุดยอดแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดโลกนั้น ได้มีการนำเสนอในเรื่องของการคาดการณ์ธุรกิจแฟรนไชส์ปี2559 ไว้ว่า

สภาพของ ธุรกิจแฟรนไชส์ ไทยจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งจากเดิมที่หลายๆคนมีการทำธุรกิจเป็นของตัวเองก็จะหันมาเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีแบบแผนหรือรูปแบบที่ชัดเจนขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพบเจอกับความเสี่ยงในด้านต่างๆ

 

“จากการสำรวจพบว่า คนที่เลือกซื้อแฟรนไชส์ส่วนใหญ่
จะเป็นนักลงทุนในกลุ่มของพนักงานบริษัท
ระดับผู้จัดการชั้นต้น พนักงานระดับกลาง
ที่มีเงินสะสมไม่น้อยกว่า 3แสนบาท”

 

สำหรับการแบ่งประเภทของ ธุรกิจแฟรนไชส์ นั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้แบ่ง ธุรกิจแฟรนไชส์ ออกเป็น 6 ประเภทหลัก ได้แก่ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจการบริการ ธุรกิจเครื่องดื่ม ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจความงาม

ธุรกิจแฟรนไชส์

เมื่อแบ่งตามอัตราเปอร์เซ็นและปัจจัยหลักที่สำคัญของ ธุรกิจแฟรนไชส์ ในงานวิจัย ในแต่ละประเภทธุรกิจจะพบว่า

1. ธุรกิจแฟรนไชส์ กลุ่มอาหาร

ธุรกิจประเภทอาหารมี 46% โดยมีปัจจัยของยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาที่ 475,833 บาทต่อเดือน ยอดกำไรประมาณการของร้านค้าหนึ่งร้าน 112,203 บาทต่อเดือน

งบประมาณการลงทุนที่แฟรนไชส์ต้องใช้ทั้งสิ้นต่อหนึ่งสาขา 2061,535 บาท ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 408,156 บาท และพื้นที่ที่ต้องการสำหรับหนึ่งสาขา 53 ตารางเมตร

2.แฟรนไชส์กลุ่มการศึกษา

ธุรกิจประเภทการศึกษามีอัตรา 11% โดยมีปัจจัยของยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาที่ 303,889 บาทต่อเดือน ยอดกำไรประมาณการของร้านค้าหนึ่งร้าน 117,778 บาทต่อเดือน

งบประมาณการลงทุนที่แฟรนไชส์ต้องใช้ทั้งสิ้นต่อหนึ่งสาขา 2,136,154 บาท ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 481,538 บาท และพื้นที่ที่ต้องการสำหรับหนึ่งสาขา 100.50 ตารางเมตร

excell2

3.แฟรนไชส์กลุ่มเครื่องดื่ม

ธุรกิจประเภทเครื่องดื่มมีอัตรา 11% โดยมีปัจจัยของยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาที่ 161,333 บาทต่อเดือน ยอดกำไรประมาณการของร้านค้าหนึ่งร้าน 40,800 บาทต่อเดือน

งบประมาณการลงทุนที่แฟรนไชส์ต้องใช้ทั้งสิ้นต่อหนึ่งสาขา 875,679 บาท ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 133,429 บาท และพื้นที่ที่ต้องการสำหรับหนึ่งสาขา 17ตารางเมตร

4.แฟรนไชส์กลุ่มความงาม

ธุรกิจประเภทความงามมีอัตรา 8%  โดยมีปัจจัยของยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาที่ 165,938 บาทต่อเดือน ยอดกำไรประมาณการของร้านค้าหนึ่งร้าน 85,000 บาทต่อเดือน

งบประมาณการลงทุนที่แฟรนไชส์ต้องใช้ทั้งสิ้นต่อหนึ่งสาขา 1,001,500 บาท ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 655,000 บาท และพื้นที่ที่ต้องการสำหรับหนึ่งสาขา 48 ตารางเมตร

5.แฟรนไชส์กลุ่มบริการ

ธุรกิจประเภทบริการมีอัตรา 2% โดยมีปัจจัยของยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาที่ 724,887 บาทต่อเดือน ยอดกำไรประมาณการของร้านค้าหนึ่งร้าน 197,937 บาทต่อเดือน

งบประมาณการลงทุนที่แฟรนไชส์ต้องใช้ทั้งสิ้นต่อหนึ่งสาขา 1,489,188 บาท ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 465,222 บาท และพื้นที่ที่ต้องการสำหรับหนึ่งสาขา 133 ตารางเมตร

excell3

6.แฟรนไชส์กลุ่มค้าปลีก

ธุรกิจประเภทค้าปลีกมีอัตรา 2% โดยมีปัจจัยของยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาที่ 600,000 บาทต่อเดือน ยอดกำไรประมาณการของร้านค้าหนึ่งร้าน 96,667 บาทต่อเดือน

งบประมาณการลงทุนที่แฟรนไชส์ต้องใช้ทั้งสิ้นต่อหนึ่งสาขา 1,966,667 บาท ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 316,667 บาท และพื้นที่ที่ต้องการสำหรับหนึ่งสาขา 49 ตารางเมตร

โดย ดร.พีรพงษ์ ระบุว่า ตามที่ได้เห็นจากข้อมูลนั้น ธุรกิจอาหารเป็นตัวคีย์นำอยู่ที่ 46% ส่วนธุรกิจที่น่าสนใจก็คือธุรกิจบริการ แม้ตอนนี้จะมีอัตราส่วนอยู่ที่ 2% แต่ถ้ามองให้ลึกไปถึงงบลงทุนของธุรกิจบริการจะพบว่างบลงทุนต่อสาขานั้นไม่เยอะ ซึ่งการลงทุนอาจจะใช้พื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นมาอีกสักเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นการลงทุนในประมาณกลางๆ ธุรกิจแฟรนไชส์

excell4

อีกทั้งธุรกิจบริการยังเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรต่อเดือนค่อนข้างสูงกว่าธุรกิจอื่นๆ ธุรกิจประเภทนี้จึงน่าจะเป็นตัวลีดในระยะเวลาอีกห้าปีข้างหน้า ซึ่งอัตราควรจะต้องมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า11% ของมูลค่าตลาดแฟรนไชส์ทั้งหมด

เพราะว่าในภายภาคหน้าพฤติกรรมของคนจะเริ่มเปลี่ยน ธุรกิจอย่างเช่นรับบริการตามบ้านจะกลับมา จะมีแฟรนไชส์พวกระบบเซอวิสจากเขตมาเลเซีย สิงคโปร์ จะเริ่มเข้ามาวางแผนที่จะขยายแฟรนไชส์ในเมืองไทย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ดร. พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์