ความล้มเหลวของ “ โรตีบอย ” แฟรนไชส์ขนมปังกระแส มักมาเร็ว ไปเร็ว
ร้านแฟรนไชส์ Rotiboy หรือ โรตีบอย ที่เคยเป็นกระแส ขนมปังอบ กลิ่นหอม ที่ต้องต่อคิวรอเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะซื้อได้เมื่อช่วงปลายปี 2548 จากที่เคยมียอดขายสูงถึง 2-3 หมื่นชิ้นต่อวัน ในราคาก้อนละ 25 บาท
เป็นขนมปังอบที่ไม่ต้องทำโปรโมชั่นอะไรเลย รสชาติก็มีให้เลือกแค่รสเดียว ซื้อกี่ชิ้นได้ ไม่มีแถม ไม่ลดราคาด้วย แต่ก็ยังมีคนต่อคิวซื้อยาวเป็นหางว่าว จนที่สุดเจ้าของร้านต้องจำกัดจำนวนชิ้นในการซื้อ โดยซื้อได้ไม่เกินคนละ 10 ชิ้น
ตรงนี้จึงทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้นมาอีก เช่น รับจ้างต่อคิวซื้อโรตีบอย โดยคิดค่าต่อคิวครั้งละ 20-30บาท หรือการไปต่อคิวซื้อมาแล้วมา หิ้วขายในราคาก้อนละ 30-35 บาท สำหรับคนที่ไม่อยากเสียเวลาต่อคิว
แต่ด้วยความเป็นสินค้ากระแส สินค้าแฟชั่น คนไทยที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยกิน เมื่อเห็นคนอื่นทำ หรือกินอะไร ก็มักจะอยากกินหรืออยากทำกับเขาบ้าง เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าตกเทรนด์
ภาพจาก goo.gl/a6Ceza
แต่กระแสของขนมปังอบ “โรตีบอย” ก็แรงไปได้มานาน หมดแรงบนเสียก่อน คนที่ได้กิน ได้ชิมไปแล้ว ก็ไม่อยากซื้ออีก กินครั้งเดียวพอแล้ว ในที่สุด บริษัทที่ซื้อลิขสิทธ์โรตีบอยในประเทศไทย ประกาศเลิกกิจการร้านโรตีบอย ทั้ง 4 สาขา คือ สยามสแควร์ สีลม เซ็นทรัล ลาดพร้าว และ ข้างบิ๊กซี รามคำแหง
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจ หรือสินค้าอะไรที่เป็นแฟชั่น เป็นสินค้ากระแส มักจะอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งตรงกับกฎความล้มเหลวของ “แฟรนไชส์” ที่ว่าธุรกิจที่เป็นแฟชั่น เป็นกระแสของผู้บริโภค มักจะประสบกับความล้มเหลว มาเร็ว ไปเร็ว
สินค้าเหล่านี้มักจะได้รับความนิยม ผู้คนคลั่งไคล้ในช่วงแรกๆ เท่านั้น พอสักพักคนก็เริ่มเบื่อ สุดท้ายก็เจ๊ง ปิดกิจการ เหมือนอย่างกรณี “เกมส์โปเกม่อน” ถามว่ายังมีอยู่ไหม ยังมีอยู่ แต่คนไม่คลั่งไคล้เหมือนเดิม ใครเล่นอาจโดนว่าเชย
ภาพจาก goo.gl/v2QpMD
วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com จะพาคุณกลับไปย้อนดูว่า ทำไม “โรตีบอย” แฟรนไชส์ขนมปังอบ ถึงดัง เป็นกระแสได้มากมายขนาดนี้ มีคนต่อคิวยาวเหยียด ถึงกับต้องมีการอาชีพรับจ้างต่อคิวซื้อกันทีเดียว
“โรตีบอย” เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ขนมอบ ถือกำเนิดครั้งแรกเมื่อปี 2541 ที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย แรกเริ่มใช้ชื่อว่า Bukit Mertajam ขายดิบขายดีจนเป็นที่รู้จักในเรื่องของรสชาติ จากนั้นปี 2545 เปลี่ยนชื่อมาเป็น Rotiboy เปิดสาขาแรกที่ Wisma Central, Jolan Ampang โดยขณะนี้มีนักธุรกิจทั้ง ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ซื้อแฟรนไชส์เข้ามาทำกันอย่างคึกคัก
ผู้บริโภคคนไทยจะเรียกขนมปังอบกลิ่นกาแฟ ก้อนกลมๆ ถือเป็นเทรนด์ใหม่ของขนมปังที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานั้น ความน่าสนใจของขนมปังอบนี้ ไม่ใช่อยู่ที่รสชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ที่เรียกว่า “จิตวิทยามาร์เก็ตติ้ง” มีขั้นมีตอน มีเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ได้แก่
ภาพจาก goo.gl/UwvQbw
1.กลยุทธ์แจกให้ชิมฟรีแบบไม่อั้น
เป็นกลยุทธ์แรกตั้งแต่เปิดร้านก็ว่าได้ แจกกันอยู่วันสองวัน เพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้จักในรสชาติ ก่อนที่ทางร้านจะเปิดขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คนที่ได้กินไปแล้วก็ “ติดอกติดใจ” บอกต่อคนอื่นๆ เกิดกระแสอย่างรวดเร็ว เป็นไปตามแผน
ส่วนใหญ่ก็บอกว่า รสชาติอร่อย ยิ่งกินกับชา กาแฟ รสชาติดีทีเดียว และเป็นอย่างที่ว่า เพราะขนมปังสูตรนี้ได้พิสูจน์ความนิยมอย่างล้นหลามมาแล้วทั้งในมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ซึ่งเคยมีนักธุรกิจซื้อแฟรนไชส์ไปทำกันหลายรายแล้ว และพบว่าได้ความนิยมทุกร้าน มีการต่อคิวซื้อยาวเหยียดเหมือนกัน
ภาพจาก goo.gl/pr4bs8
2.การสร้างมูลค่าความต้องการสินค้า
เมื่อเกิดกระแสความนิยมพรั่งพรู ขั้นต่อมาคือ การสร้างมูลค่าความต้องการของสินค้า โดยการกำหนดปริมาณการซื้อแบบ Limited ให้ลูกค้า 1 คน ซื้อขนมปังโรตีบอย ได้คนละไม่เกิน 10-15 ชิ้น ซึ่งสูตรการตลาดนี้ โดนใจ ออกดอกออกผลทางการตลาดยิ่งนัก เมื่อซื้อได้น้อย ก็มีคนมาซื้อเยอะ ทำให้ขนมปังขายดีถึงวันละไม่ต่ำกว่า 2 -3 หมื่นชิ้น
ถือเป็นความสำเร็จของ “โรตีบอย” ขนมปังอบกลิ่นกาแฟ ที่สร้างความคึกคัก พูดถึงกันมากในช่วงเวลานั้น แต่ด้วยความเป็นธุรกิจหรือสินค้าที่มากับกระแส จึงทำให้โรตีบอยอยู่ได้ไม่นาน มีคู่แข่งขันเกิดขึ้นมากมาย สุดท้ายก็ไปไม่รอดครับ
นับว่าเป็นกรณีศึกษาที่ดีมากให้กับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ และผู้ที่คิดจะซื้อแฟรนไชส์ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในแฟรนไชส์ ต้องมีความรู้เรื่องแฟรนไชส์ และไม่ทำธุรกิจที่เป็นแฟชั่น อิงกระแส เพราะจะไม่ยั่งยืน มาเร็ว ไปเร็วครับ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/3corFV2
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
อ้างอิงจาก https://bit.ly/2Ku6UhR
