ขายบะหมี่แบบปากดี ยิ่งด่าคนยิ่งซื้อ รับลูกค้าไม่ทัน คืนละ 500 กว่าคน

ทฤษฏีการตลาดส่วนใหญ่มักบอกให้เราต้องเอาใจลูกค้า พูดจาเพราะๆ และคนส่วนใหญ่เหมือนกันก็ชอบพ่อค้าแม่ค้าที่พูดจาไพเราะ ถ้าไปเจอพ่อค้าแม่ค้าด่าเก่ง พูดจาไม่ชวนให้อยากซื้อ เป็นเราเองก็คงไม่อยากเข้าร้าน

แต่ว่าทฤษฏีนี้ก็ไม่ใช่ความจริงเสมอไป การฉีกกฎการตลาดของพ่อค้าแม่ค้าบางคน ที่เอะอะโวยวาย พูดจาแบบไม่ต้องรักษาน้ำใจ กลับกลายเป็นว่าร้านเหล่านี้บางทีกลายเป็นที่พูดถึงของลูกค้า ยิ่งในยุคโลกออนไลน์แบบนี้บางทีถึงกับกลายเป็นไวรัลที่เพิ่มยอดขายให้ร้านได้มาก

www.ThaiSMEsCenter.com มีอีกตัวอย่างของการขายในลักษณะนี้ที่ขอบอกว่าขายดีมาก มีลูกค้าไม่ต่ำกว่าวันละ 500 คน กับเทคนิคการขายที่เรียกว่ายิ่งด่าคนยิ่งซื้อ

บะหมี่ปากดี! บะหมี่ปากหมา! บะหมี่มาเฟีย! ลูกค้าคืนละกว่า 500 คน

ขายบะหมี่แบบปากดี

ภาพจาก https://bit.ly/3rj65vy

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการขายแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะทำแบบนี้แล้วขายดี สิ่งสำคัญก็ยังอยู่ที่ตัวสินค้าและความจริงใจเป็นสำคัญด้วย เจ้าของร้านบะหมี่ปากดีที่ว่านี้คือคุณคุณากร กุสาวดี หรือ เฮียฮ๋ง ที่มีจุดเด่นคือ “บะหมี่ชามยักษ์” ก่อนหน้านี้เคยทำงานที่กรุงเทพฯ

แต่เมื่อแต่งงานได้ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่ขายโจ๊ก , ก๊วยจั๊บ และอาหารอื่นๆ เหตุผลที่ตัดสินใจมาเปิดร้านบะหมี่ก็ด้วยความชอบเป็นหลัก และอยากให้ลูกค้าประทับใจได้ทานแบบอิ่มๆ ในราคาไม่แพง จึงกลายมาเป็นบะหมี่ชามยักษ์ ใส่เครื่องแน่นๆ ทั้งหมูแดง เส้น และเกี๊ยว ใช้ชื่อร้านว่า “ซุ้มเฮียฮ๋ง”

4

ภาพจาก https://bit.ly/3Gcr6vP

แต่ด้วยบุคลิกที่เป็นคนโพงพาง พูดจาตรงไปตรงมา เป็นคนที่คุยเล่นได้กับทุกคน ทำให้คำพูดจาบางครั้งออกแนวเอะอะ มึงมาพาโวย ใช้คำศัพท์สมัยพ่อขุน จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ซึ่งลูกค้าที่รู้จักส่วนใหญ่จะเข้าใจดี และเรียกร้านบะหมี่แห่งนี้ตามแต่ความพอใจทั้ง บะหมี่ปากดี, บะหมี่ปากหมา ,บะหมี่มาเฟีย เป็นต้น

และด้วยความชัดเจนในบุคลิกที่ว่านี้ก็ทำให้ร้านมชื่อเสียงโด่งดังประกอบกันสินค้ามีคุณภาพ เน้นหมูแดงทำชิ้นใหญ่ , บะหมี่แห้งก็มีน้ำซุปราดให้ฉ่ำๆ เรียกว่าถ้าลูกค้าคนไหนได้ลองมากินสักครั้งจะต้องติดใจ ทำให้มีลูกค้าเฉลี่ยต่อวันไม่ต่ำกว่า 500 คน สร้างรายได้ให้กับบะหมี่เฮียฮ๋งอย่างมาก

เมนูก็สุดแปลก เห็นชื่อต้องอยากรู้ว่าคืออะไร

3

ภาพจาก https://bit.ly/3Hyn82p

ในเมื่อคาแรคเตอร์เจ้าของร้านที่เป็นคนพูดจาตรงๆ ไม่ค่อยจะเพราะสักเท่าไหร่ แต่ก็จริงใจกับลูกค้าทุกคน กลายเป็นจุดขายที่ดี ก็ต่อยอดคาแรคเตอร์นี้ไปที่เมนูให้ดูน่าสนใจอย่างเช่น “บะหมี่เกี๊ยวพ่อ…ตาย” ที่มียอดขายเฉลี่ยวันละ 5-10 ชาม

ซึ่งลักษณะคือชามขนาดใหญ่ไซด์พิเศษ ให้บะหมี่กว่า 60 ก้อน ราคา 600 บาท/ชาม พร้อมเกี๊ยว เป็นเมนูที่ทานได้ 10-15 คน หรืออีกเมนูที่น่าสนใจคือ “คุ้มเฮี่ยๆ” ที่เป็นไซด์ใหญ่เหมือนกันแต่ขนาดลดลงมา ราคาก็ถูกลง รับประทานได้ 5-6 คนต่อชาม

2

ภาพจาก https://bit.ly/3ui2uj4m

แต่ลูกค้าหลายคนก็อยากเห็นความพิเศษของเมนูที่ทั้งใหญ่และชื่อแปลก ทางร้านก็ไม่รอช้าจัดให้กับเมนูไซด์พิเศษที่ใหญ่สุดในร้านชื่อว่า “เมนูกูจะไปหาพ่อ”

โดยใช้บะหมี่มากถึง 84 ก้อน รับประทานได้มากกว่า 15 คน/ชาม ราคาขายชามละ 990 บาท เอาใจคนที่อยากเจอบะหมี่บิ๊กไซด์ แต่ถึงจะมีเมนูพิเศษมากมาย แต่สำหรับลูกค้าทั่วไปก็มีเมนูไซด์ปกติที่ขายชามละ 25 บาทเท่านั้น

เทคนิคการตลาดแบบ Personal Branding

1

ภาพจาก https://bit.ly/3uf549v

นับว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ประยุกต์ใช้การตลาดอย่างได้ผล ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าของร้านอาจไม่ได้อิงหลักการตลาดใดๆ ทั้งนั้นเพียงแค่ใช้จุดเด่นในความเป็นตัวเองมาสร้างจุดขาย ถ้าจะเทียบหลักการตลาดก็คือ Personal Branding ที่เป็นการสร้างคาแรคเตอร์ในแบบฉบับของตัวเองให้คนจดจำ ในยุคที่การแข่งขันมีสูงเช่นนี้การใช้ตลาดที่ทำให้คนรู้จัก คนจดจำ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยิ่งเป็นสมัยที่โซเชี่ยงเฟื่องฟู ร้านค้าที่แปลกๆ ที่น่าสนใจมักจะถูกแชร์อย่างรวดเร็ว เท่ากับเป็นการโฆษณาที่เจ้าของร้านไม่ต้องลงทุนเอง

การเล่นกับอารมณ์ของลูกค้าจะว่าไปก็เทียบได้กับอีกหนึ่งทฤษฏีการตลาดที่เรียกว่า Emotional Marketing ซึ่งนักวิจัยในหลายประเทศทั่วโลกได้ทำการศึกษาสมองของลูกค้าขณะกำลังเลือกซื้อสินค้าต่างๆ แล้วพบว่า ลูกค้าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อสินค้า มากกว่าใช้เหตุผลหรือข้อมูลที่ร้านให้มา

7

ภาพจาก https://bit.ly/3Gk7OVC

ดังนั้นการเล่นกับอารมณ์ของลูกค้าด้วยการพูดที่โพงพาง พูดจาไม่เพราะเหล่านี้ ก็ยิ่งไปกระตุ้นให้ลูกค้าอยากรู้ว่าร้านนี้มีดีอะไร ทำไมถึงต้องพูดแบบนี้ ในอีกมุมหนึ่งลูกค้าจะรู้สึกว่าร้านนี้จะต้องมีอะไรดี ขนาดที่เจ้าของร้านกล้าพูดจาแรงๆ กับลูกค้าแบบนี้แสดงว่าต้องมั่นใจในสินค้าอย่างมาก

ดังนั้นการใช้การตลาดที่เล่นกับอารมณ์คน หรือการแสดงคาแรคเตอร์แรงๆ จำเป็นที่เราต้องมั่นใจด้วยว่าสินค้าเราดีจริง และการพูดจาใดๆ ก็ตาม ก็ต้องมีขอบเขตที่เหมาะสม แม้จะเป็นคำพูดแรงๆ แต่ก็ไม่ควรให้มากเกินไป เพราะอาจกลายเป็นดาบสองคมเหมือนที่ปรากฏเป็นข่าวต่างๆ วิธีการขายด้วยการสร้างคาแรคเตอร์จึงอาจเป็นการทำให้ร้านเราสะดุดตา แต่หากใช้วิธีนี้โดยไม่จำกัดขอบเขตให้ดีก็อาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้เช่นกัน


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3KG8yI6 , https://bit.ly/3AyF5Lk , https://bit.ly/3IL3U9T

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3GfkZHe

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด